หน้าหลัก ค้นหา ติดต่อ สมุดโทรศัพท์ การเรียน/การสอน เหตุการณ์ แผนที่เว็บ Thai/Eng
MCU

หน้าหลัก » พระวุฒิชัย มหาสทฺโท (เสียงใหญ่)
 
เข้าชม : ๑๖๗๖๓ ครั้ง
การบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ (รัฐประศาสนศาสตร์)
ชื่อผู้วิจัย : พระวุฒิชัย มหาสทฺโท (เสียงใหญ่) ข้อมูลวันที่ : ๒๑/๑๒/๒๐๑๔
ปริญญา : พุทธศาสตรมหาบัณฑิต(การบริหารจัดการคณะสงฆ์)
คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ :
  ผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม
  พระครูสังฆรักษ์เกียรติศักดิ์ กิตติปญฺโญ,ดร.
  ผศ.ดร.ธัชชนันท์ อิศรเดช
วันสำเร็จการศึกษา : ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗
 
บทคัดย่อ

  การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ ๒) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ๓) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะต่อการบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสม (Mixed Research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ของบริเวณลำน้ำคูไหว ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๓๗๐ คน จากจำนวนประชากร ๕,๐๑๒ คน  ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรการคำนวณของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของประชากร คือ ค่าความถี่  ค่าร้อยละ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ระดับความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ คือค่าความถี่ (Frequencies) ร้อยละค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และทดสอบสมมติฐานโดยเพื่อบรรยายข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคล การทดสอบค่าที (t-test) เพื่อทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยสองกลุ่ม และการทดสอบค่าเอฟ (F-test) ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) เพื่อทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยตั้งแต่สามกลุ่มขึ้นไป และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีผลต่างนัยสำคัญน้อยที่สุด (Least Significant Difference : LSD) และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) และใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท

ผลการศึกษาวิจัยพบว่า
๑) ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยปานกลาง (  = ๒.๗๑) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับเห็นด้วยปานกลางทุกด้าน มีค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยตามลำดับ คือด้านการวางแผน (  = ๒.๗๔) ด้านการตรวจสอบ (  = ๒.๗๒) ด้านการปฏิบัติตามแผน (  = ๒.๗๐) และด้านการปฏิบัติ (  = ๒.๖๘)
๒) เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ที่อยู่ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน พบว่า ประชาชนที่มี อายุ อาชีพ และรายได้ ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ ไม่แตกต่างกัน ส่วนประชาชนที่มีเพศ ระดับการศึกษาและมีที่อยู่ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕
๓) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ พบว่า ผู้บริหารเทศบาลควรมีการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสียด้วยอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสียด้วยและรณรงค์ให้ประชาชนรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนประชาสัมพันธ์และการรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะเรื่องการบำบัดน้ำเสียในชุมชน ในครัวเรือน ตลอดถึงควรมีการบริการจัดศูนย์การเรียนรู้ จัดอบรมให้ความรู้แก่ประชาชน รวมถึงการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
๔) ผลการสัมภาษณ์เชิงลึกบุคคลผู้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่ สามารถสรุปได้ดังนี้ การบริหารจัดการปัญหาลำน้ำคูไหวเน่าเสีย ของเทศบาลนครเชียงใหม่จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้นั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนอย่างแท้จริง มีการสำรวจความต้องการของประชาชนในพื้นที่ก่อนที่จะกำหนดเป็นแผนในการดำเนินงานแก้ไขปัญหา และควรจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการจัดกิจกรรมของประชาชนด้วย ส่วนภาคประชาชนควรให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และคอยติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความร่วมมือทั้งภาครัฐและประชาชน

ดาวน์โหลด

 
 
 
สงวนลิขสิทธ์โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ 
พัฒนาและดูแลโดย : webmaster@mcu.ac.th 
ปรับปรุงครั้งล่าสุดวันพฤหัสบดี ที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕