วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีจุดประสงค์ ๓ ประการคือ ๑) เพื่อศึกษาความหมายและคุณลักษณะของวาจาสุภาษิตที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ๒) ความหมายและคุณลักษณะของวาจาสุภาษิตที่ปรากฏในมงคลสูตรและ ๓) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้วาจาสุภาษิตในมงคลสูตรต่อการใช้วาทกรรมด้านการเมือง วาทกรรมด้านการสื่อสาร วาทกรรมด้านสังคมและวาทกรรมด้านการศึกษาของสังคมไทยปัจจุบัน การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสารโดยเก็บรวบรวมข้อมูลพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์มังคลทีปนี เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ในเชิงพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า ความหมายและคุณลักษณะวาจาสุภาษิตในมงคลสูตรมีลักษณะที่สอดคล้องกับที่มีในพระไตรปิฎก แต่เน้นการพัฒนาตามลำดับข้อของมงคลสูตร โดยมีลักษณะที่เหมือนกัน คือ ๑. การพูดถูกกาล ๒. การพูดคำจริง ๓. การพูดคำอ่อนหวาน ๔. การพูดให้เกิดประโยชน์ ๕. การพูดด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตา
ส่วนการประยุกต์ใช้วาจาสุภาษิตนั้นมีความหลากหลายในหลายประเด็นตามกรอบที่ได้วางไว้เพื่อจะศึกษามี ๔ ประเด็น ได้แก่ วาทกรรมด้านการเมือง วาทกรรมด้านการสื่อสาร วาทกรรมด้านสังคมและวาทกรรมด้านการศึกษา ซึ่งผลการวิจัยวาทกรรมด้านการเมืองทำให้ทราบว่าผู้ปกครองที่ดีต้องมีคุณธรรม ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อยู่ใต้ปกครอง รู้จักพูด มีวาจาสัตย์ รู้จักทำความสงบใจ ไม่หลงใหลในอำนาจปกครองโดยอาศัยหลักธรรมมีจักกวัตติธรรม เป็นต้น ส่วนในวาทกรรมด้านการสื่อสารใช้เป็นวิธีการสอนให้เกิดประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังนำไปใช้ในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาบุคคล สังคมและประเทศชาติให้เกิดความสงบร่มเย็นเป็นเอกภาพ วาทกรรมด้านสังคมทำให้ทราบว่านักสังคมสงเคราะห์ที่ดีต้องมีพรหมวิหารธรรมเป็นหลักใจมีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ สงเคราะห์ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่นด้วยหลักสังคหวัตถุธรรม ด้านการศึกษาทำให้ทราบว่าพระพุทธศาสนาอาศัยหลักไตรสิกขาในการศึกษาเพื่อพัฒนาตนและสังคม โดยการพัฒนาตนทำให้กายวาจาเรียบร้อย จิตใจเข้มแข็ง มีปัญญาในการดำรงชีวิต กระทั่งสามารถบรรลุพระอรหันต์ ส่วนการพัฒนาสังคมทำให้สังคมเกิดสันติสุข เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ จึงจะทำให้เกิดประสิทธิภาพและได้รับประสิทธิผลอย่างเต็มที่
download |