พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์หลักที่มีความสำคัญที่สุดต่อพระพุทธศาสนา 
            เพราะได้ประมวลพระพุทธพจน์อันเป็นสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้อย่างครบถ้วน 
            และสมบูรณ์ที่สุด ยิ่งกว่าคัมภีร์อื่นใด นอกจากนี้ พระไตรปิฎก ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่ง 
            ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องยืนยันถึงวัสสายุกาลของพระพุทธศาสนาว่าได้อุบัติขึ้น 
            และดำรงอยู่สืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานเพียงใด ดังนั้น พระไตรปิฎก จึงนับเป็นมรดกอันล้ำค่าที่พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าทั้งที่เป็น 
            บรรพชิต และคฤหัสถ์ควรจะได้ช่วยกันเชิดชู ทะนุบำรุง และหมั่นศึกษาพระปริยัติสัทธรรมให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ 
            แล้วเพิ่มพูนพระปฏิบัติสัทธรรมให้เกิดมีขึ้นในจิตใจของตน ๆ เพื่อจะได้เป็นปัจจัยให้ได้ดื่มอมตรสแห่งพระปฏิเวธสัทธรรมชั้นสูงยิ่ง 
            ๆ ขึ้นไป 
                 มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 
            มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งคณะสงฆ์ไทยเป็นสถาบันการศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูงสำหรับพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย 
            ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสถาปนาขึ้นไว้ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ 
            โดยชั้นเดิมพระราชทานนามว่า มหาธาตุวิทยาลัย และได้เปิดการศึกษาตั้งแต่วันที่ 
            ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๒ เป็นต้นมา ครั้นถึงวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ 
            ได้โปรดพระราชทานเปลี่ยนนาม มหาธาตุวิทยาลัย เป็น มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
            เพื่อให้เป็นที่เฉลิมพระเกียรติยศสืบไป*(* ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓ แผ่นที่ 
            ๒๔ วันที่ ๒๐ กันยายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๕. น. ๒๖๓-๒๖๘) 
            ต่อมาวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ พระมหาเถรานุเถระฝ่ายมหานิกายทั่วราชอาณาจักรจำนวนทั้งหมด 
            ๕๗ รูป ได้ประชุมร่วมกัน ณ ตำหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุ โดยมีพระพิมลธรรม 
            (ช้อย ฐานทตฺตเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุองค์ที่ ๑๕ เจ้าคณะตรวจการภาค 
            ๑ และสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การสาธารณูปการ เป็นประธาน เพื่อปรึกษาหารือในอันที่จะเปิดมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยสนองพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่รัชกาลที่ 
            ๕ ผลการประชุมปรึกษาหารือปรากฏว่า ทุกท่านต่างมีความเห็นร่วมกันเป็นสมานฉันท์ให้เปิดสถาบันการศึกษาแห่งนี้ 
            ให้เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งคณะสงฆ์ไทยต่อไป และได้เปิดการศึกษาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 
            ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา ตราบเท่าปัจจุบัน ซึ่งการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ 
            สามารถเอื้ออำนวยคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนาและประเทศชาติจนสุดที่จะคณานับได้ 
            ดังเป็นที่ประจักษ์กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว     
              
            พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
              
                มหาจุฬาเตปิฏก หรือที่เรียกชื่อเป็นภาษาไทยว่า 
            พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เกิดขึ้นจากความดำริ และความปรารถนาอันแรงกล้าของ 
            ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) ในอันที่จะสนองพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
            รัชกาลที่ ๕ ที่ทรงสถาปนามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อให้เป็นสถาบันการศึกษาพระไตรปิฎก 
            และวิชาชั้นสูงสำหรับพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย กล่าวคือในขณะนั้น (พ.ศ. ๒๔๙๖) 
            ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จ ฯ ยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรม และดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ 
            สภานายกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง 
            ได้รับมอบหมายจากคณะสังฆมนตรีให้เป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ไทยเดินทางไปประเทศสหภาพพม่า 
            เพื่อร่วมกับพระมหาเถระจากประเทศต่าง ๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทพิจารณาโครงร่างงานฉัฏฐสังคายนา 
            โดยรัฐบาลและคณะสงฆ์ของประเทศสหภาพพม่าได้เตรียมงานส่วนนี้ไว้ล่วงหน้า 
            ก่อนจะถึงกำหนดการประกอบพิธีฉัฏฐสังคายนา ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 
            ๒๔๙๗ -๒๕๐๐ 
                 การพิจารณาโครงร่าง ฯ ดังกล่าว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ 
            ฯ และพระมหาเถระจาก ประเทศต่าง ๆ มีความเห็นร่วมกันว่า ขอให้รัฐบาลของประเทศสหภาพพม่าแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งเรียกชื่อว่า 
            คณะกรรมการฉัฏฐสังคายนาโอวาทาจริยสังฆนายก โดยขอความร่วมมือไปยังรัฐบาลและคณะสงฆ์ 
             จากประเทศอินเดีย 
            ปากีสถาน ศรีลังกา ไทย ลาว และเขมร เพื่อให้ส่งผู้แทนไปร่วมเป็นกรรมการพิจารณาเตรียมการ 
            ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ขั้น* (* กรมการศาสนา : ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 
            ๒๐๐ ปี ภาค ๒, โรงพิมพ์การศาสนา,พ.ศ. ๒๕๒๕, น. ๒๘๔-๒๘๗) คือ 
                    ๑. ขั้นเตรียมงาน คือ 
            การรวบรวมพระคัมภีร์จากประเทศของตน ๆ พร้อมทั้งดำเนินการตรวจชำระพระคัมภีร์นั้น 
            ๆ ให้ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด 
                    ๒. ขั้นปฏิบัติการ 
            คือ การเปรียบเทียบ พระคัมภีร์ฉบับต่าง ๆ เช่น ฉบับของไทย ฉบับของพม่า 
            ฉบับจารึกหินอ่อนที่มันดะเล ฉบับของสิงหล และฉบับของอังกฤษ คือฉบับ Pali 
            Text Society  
              
                    ๓. ขั้นรับรอง คือการประกอบพิธีรับรอง 
            งานที่ได้จัดทำไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คณะสังฆมนตรีทราบ พร้อมทั้งเสนอขออนุมัติจากคณะสังฆมนตรีเพื่อให้ส่ง 
            พระธรรมธีรราชมหามุนี (ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี ปุณฺณกมหาเถร) 
            วัดจักรวรรดิราชาวาส เดินทางไปร่วมเป็นกรรมการฉัฏฐสังคายนาโอวาทาจริยสังฆนายก 
            ตามที่รัฐบาลของประเทศสหภาพพม่ามีหนังสือขออาราธนามา คณะสังฆมนตรีได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ 
            และมีมติให้ส่งพระสงฆ์ไทยจำนวน ๕ รูป เข้าร่วมเป็นกรรมการดังกล่าว โดยมอบหมายให้พระธรรมธีรราชมหามุนี 
            เป็น หัวหน้าคณะ ซึ่งพระธรรมธีรราชมหามุนีพร้อม ด้วยพระอนุจรอีก ๑ รูป 
            ได้ออกเดินทางจาก ประเทศไทยไปประเทศสหภาพพม่า เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม 
            พ.ศ. ๒๔๙๖ ส่วนพระสงฆ์ไทย อีก ๔ รูปนั้น คณะสังฆมนตรีจะพิจารณาคัดเลือกส่งตามไปในภายหลัง 
              
                    จากนั้นเป็นต้นมา คณะสงฆ์ไทยหลาย 
            คณะก็ได้เดินทางไปร่วมงานฉัฏฐสังคายนาที่ประเทศสหภาพพม่าอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์นั้น 
            นอกจากจะเดินทางไปร่วมงานดังกล่าวมากที่สุดถึง ๑๖ ครั้งแล้ว ท่านยังเป็นกำลังสำคัญที่สุดรูปหนึ่งในการประสานงานให้การประกอบพิธีฉัฏฐสังคายนาครั้งนั้นสำเร็จลุล่วงลงด้วยดีตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ 
            จนท่านกลายเป็นพระมหาเถระชาวไทยรูปแรกที่รัฐบาลและคณะสงฆ์ตลอดจนพุทธศาสนิกชน 
            ชาวพม่าพากันถวายความเคารพนับถือด้วยความสนิทใจ และพลอยทำให้รัฐบาลและคณะ 
            สงฆ์ของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีความคลางแคลงใจกันมาตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน 
            ได้หันกลับมามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันสืบต่อมาตราบเท่าปัจจุบันอีกด้วย 
            การมีโอกาสเดินทางไปร่วมงานฉัฏฐสังคายนาที่ประเทศสหภาพพม่าตั้งแต่เบื้องต้นติดต่อกันมานั้น 
            ทำให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เริ่มประจักษ์แก่ใจมากขึ้นว่าพระราชสมภารเจ้า 
            พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 
            ๕ ที่ทรงสถาปนามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยขึ้นมา ก็เพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง 
            แต่พระไตรปิฎกของไทยเรายังขาดความสมบูรณ์และมีความคลาดเคลื่อนอยู่หลายแห่ง 
            น่าจะได้มีการตรวจชำระ และจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ให้เป็นฉบับของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
            เพื่อให้มีความสมบูรณ์และอำนวยความสะดวกแก่การศึกษาค้นคว้าของพระนิสิตและนักเรียนมหาจุฬา 
            ฯ ต่อไป แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้ศาสนบัณฑิต ผู้มีความรู้ 
            และเงินเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ควร ปล่อยวางหรือเพิกเฉยโดยไม่คิดทำอะไรเลย 
            ถ้าจะค่อยทำค่อยไปก็น่าจะทำให้การตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับนี้สำเร็จลงได้เหมือนกัน 
            ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๙ คณะพระเปรียญที่อยู่จำพรรษา ณ วัดต่าง ๆ ทั้งใน 
            พระนครและธนบุรีได้รวมตัวกันก่อตั้ง สภาเปรียญแห่งประเทศไทย ขึ้นมา เพื่อร่วมกันดำเนินกิจกรรมอันจะเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติในวงกว้างออกไป 
            โดยพระมหาพรหมา ปญฺญาทีโป ป.ธ. ๙ (ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระปิฎกโกศล 
            เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๐ ต่อมาลาสิกขา คือนายพิทูร มลิวัลย์ ถึงแก่กรรมแล้ว) 
            วัดมหาธาตุ ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาเปรียญแห่งประเทศไทยเป็นการชั่วคราว 
            เพื่อบริหารงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ๔ ประการ* (*ระเบียบข้อบังคับสภาเปรียญแห่งประเทศไทย, 
            โรงพิมพ์การพิมพ์พาณิชย์,พ.ศ. ๒๕๐๑, น. ข-ค) คือ 
                    ๑. เพื่อเป็นศูนย์สัมพันธ์และส่งเสริมสามัคคีธรรมของเปรียญทั่วประเทศ 
                    ๒. เพื่อเป็นศูนย์กลางส่งเสริมการศึกษาและเกียรติฐานะของเปรียญ 
                    ๓. เพื่อเป็นศูนย์กลางส่งเสริมสังคหธรรม 
                    ๔. เพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแผ่ศาสนธรรมทั้งในและนอกประเทศ 
            ภายหลังจากที่ได้ประกาศใช้ระเบียบข้อบังคับสภาเปรียญแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 
            ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้ว พระเถระผู้ใหญ่หลายรูปต่างมีความปริวิตกเป็นอย่างมากด้วยเกรงว่า 
            สภาเปรียญแห่ง ประเทศไทยจะเป็นชนวนก่อปัญหาให้การปกครอง คณะสงฆ์เกิดความยุ่งยากมากขึ้น 
            จึงได้ขอร้องเป็นการส่วนตัวให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่งเป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองอยู่ในขณะนั้น 
            ได้ช่วยติดตามและควบคุมการดำเนินกิจกรรมของสภาเปรียญแห่งประเทศไทย อย่างใกล้ชิดด้วย 
            ต่อมาท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เรียก พระมหาพรหมา ปญฺญาทีโป มาพบ และสอบถามว่าพวกเธอมีความคิดอย่างไรจึงพากันตั้งสภาฯ 
            นี้ขึ้นมา จะพากันทำอะไร จะเอาสำนักงานไปตั้งอยู่ที่ไหน พระผู้ใหญ่ไม่สบายใจต่อการกระทำของพวกเธอมาก 
            และคงไม่มีใครอนุญาตให้สำนักงานของพวกเธอไปตั้ง อยู่ในวัดของเขาหรอก 
            แต่ภายหลังจากที่ พระมหาพรหมา ปญฺญาทีโป ได้กราบเรียนถึง แนวความคิด 
            วัตถุประสงค์และข้อเท็จจริงทุกอย่างให้ทราบโดยละเอียดแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ 
            จึงกล่าวว่า เอาอย่างนี้ ให้เธอไปรวบรวมเพื่อนๆ ที่เป็นเปรียญสูงๆ มา 
            จะยังเป็นพระอยู่หรือลาสิกขาไปแล้วก็ได้ หลวงพ่อจะมอบหมายให้พวกเธอช่วยกันตรวจชำระพระไตรปิฎกและอรรถกถาให้เป็นฉบับของมหาจุฬาฯ 
            ขอให้ช่วยกันตรวจชำระให้มีความสมบูรณ์และสะดวกต่อการศึกษาค้นคว้าเช่นเดียวกับพระไตรปิฎกฉบับฉัฏฐ 
            สังคายนาให้ได้ ส่วนเงินค่าใช้จ่ายในการตรวจชำระและจัดพิมพ์นั้นหลวงพ่อจะรับผิดชอบเอง 
            หลวงพ่อเชื่อมั่นว่างานที่มอบหมายให้พวกเธอทำนี้ จะเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติต่อไปในอนาคต 
            และคงไม่มีพระผู้ใหญ่รูปใดตั้งข้อรังเกียจอย่างแน่นอน เมื่อผู้มีศรัทธาทราบเรื่องนี้แล้วก็มีแต่จะพากันนำเงินมาถวาย 
            ข้อสำคัญขอให้พวกเธอเสียสละเวลามาช่วยกันทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ ก็แล้วกัน 
                    พระมหาพรหมา ปญฺญาทีโป 
            ได้ติดต่อรวบรวมเพื่อนๆ และผู้ที่เคารพนับถือทั้งที่ เป็น บรรพชิตและคฤหัสถ์หลายท่าน 
            เช่น พระครูสุวิมลธรรมาจารย์ วัดมหาธาตุ (พระสุวิมลธรรมาจารย์ : ผ่อง 
            สุวิมุตฺโต ป.ธ.๖ มรณภาพแล้ว) พระมหาเกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ. ๙ วัดสระเกศ 
            (ปัจจุบัน คือท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ อุปเสณมหาเถร) พระมหาพลอย 
            ญาณสํวโรป.ธ. ๙ วัดเทพธิดาราม (ปัจจุบันคือ พระสุทธิวงศาจารย์ ญาณสํวรเถร) 
            พระมหาบุญมา คุณสมฺปนฺโน ป.ธ. ๙ (ปัจจุบันคือ พระธรรมวโรดม คุณสมฺปนฺนเถร)นายทอง 
            หงส์ลดารมย์ ป.ธ. ๖ นายเกษม บุญศรี ป.ธ. ๗ นายทินกร ทองเศวต ป.ธ. ๙ และนายสิริ 
            เพ็ชรไชย ป.ธ. ๙ เป็นต้น จากนั้นจึงได้นำรายชื่อกราบเรียนเสนอแด่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ 
            ฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งท่านก็ให้ความเห็นชอบและอนุมัติให้ดำเนินการได้ โดยให้ใช้หอปริยัติ 
            คณะ ๑ วัดมหาธาตุ เป็นสถานที่ตรวจชำระต่อไป 
             
              
            วัตถุประสงค์ 
                    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ 
            และผู้มีรายชื่อดังกล่าว ได้ประชุมปรึกษาหารือกันเป็นเบื้องต้น และต่างมีความคิดเห็นร่วมกันว่า 
            พระไตรปิฎก ที่จะตรวจชำระและจัดพิมพ์ขึ้นใหม่นี้ให้ชื่อว่า 
            มหาจุฬาเตปิฏก หรือเรียกชื่อเป็นภาษาไทยว่า พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
             โดยกำหนดวัตถุประสงค์ในการตรวจชำระและจัดพิมพ์ไว้ ๓ ประการ* 
            (* นิทานพจน์พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, น. ค-ฆ) คือ 
                    ๑. เพื่อสนองพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
            รัชกาลที่ ๕ ผู้ทรงสถาปนามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชา 
            ชั้นสูงสำหรับพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย 
                    ๒. เพื่อให้มีพระไตรปิฎกฉบับที่สมบูรณ์และ 
            มีปริมาณเพียงพอต่อการศึกษาและค้นคว้าของ พระนิสิตและนักเรียนของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
                    ๓. เพื่อให้เป็นอนุสรณ์มหามงคลสมัย 
            ๒๕ พุทธศตวรรษ  
             
              
            หลักเกณฑ์การตรวจชำระ 
                    การตรวจชำระ มหาจุฬาเตปิฏก 
            หรือ ที่เรียกชื่อเป็นภาษาไทยว่า พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
            ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการตรวจชำระไว้ว่าให้ทำการตรวจสอบเทียบเคียงอย่างละเอียดถี่ถ้วนกับพระไตรปิฎกฉบับต่างๆ 
            ทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ เช่น พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ พระไตรปิฎกฉบับฉัฏฐสังคายนา 
            พระไตรปิฎกฉบับอักษรสิงหล และพระไตรปิฎกฉบับอักษรโรมันของ Pali 
            Text Society เป็นต้น เพื่อให้พระไตรปิฎกฉบับที่ตรวจชำระขึ้นใหม่นี้มีความสมบูรณ์และถูกต้องที่สุด 
            ทั้งอรรถและพยัญชนะ พร้อมทั้งพิจารณาตั้งย่อหน้าให้มากขึ้น และตั้งชื่อวรรค 
            ชื่อสูตรไว้ให้ปรากฏชัดเจน         เพื่อความสะดวกในการศึกษาค้นคว้าของพระนิสิตนักเรียนของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและผู้ที่สนใจจะศึกษาค้นคว้าได้ง่ายขึ้นส่วนกรณีที่มีความแตกต่างกันทั้งในด้าน 
            เนื้อความและการใช้ศัพท์ของพระไตรปิฎกแต่ละฉบับ เมื่อตรวจสอบแน่นอนแล้ว 
            ก็ให้ทำเชิงอรรถบอกที่มาของพระไตรปิฎกฉบับนั้นๆ กำกับไว้ให้ชัดเจน โดยกำหนดให้ใช้อักษรย่อในการทำเชิงอรรถของพระไตรปิฎกแต่ละฉบับ 
            ไว้ดังต่อไปนี้ |