ความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎก l ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระไตรปิฎก l พระไตรปิฎกวิจารณ์ l บทความพระไตรปิฎก  

ดูบทความอื่นๆ หน้าหลัก

ภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์ในพระไตรปิฎก



วารีญา ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542 หน้า 321 - 336

พระไตรปิฎกเป็นขุมทรัพย์ทางภูมิปัญญาของมนุษยชาติ และพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของชาวไทยทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ๆ ทั้งนี้เพราะพระไตรปิฎก เป็นพระสัทธรรมเพื่อการดำรงอยู่อย่างเป็นมนุษย์ที่แท้ ความเป็นมนุษย์ที่บริบูรณ์ สมบูรณ์แบบ เมื่อใครได้ศึกษาและปฏิบัติตามแล้วจะเกิดการพัฒนาตนให้มีความสงบระงับภายในได้ เกิดความสุข และเกิดความเรืองปัญญา เป็นคุณภาพชีวิตที่บรรลุถึงความดีสูงสุด ทำให้เกิดสันติภาพและความมั่นคงในสังคมไทยที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
ประชาชนทั่วทุกมุมโลกกำลังให้ความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาพระไตรปิฎกมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในหลายหลากองค์ความรู้ บ้างก็ศึกษาในภูมิความรู้ด้านการบริหาร การปกครอง ภาวะผู้นำ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บ้างก็ศึกษาเพื่อเพิ่มพูนภูมิความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ เช่น แพทยศาสตร์ การพยาบาล การสาธารณสุขศาสตร์ เภสัชศาสตร์ ส่วนด้านอายุรเวทและเภสัชศาสตร์แผนไทย ก็มีรากฐานความรู้หลายส่วนมาจากพระไตรปิฎก นอกจากนี้ยังมีอยู่ไม่น้อยที่ศึกษาภูมิปัญญาด้านจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ และจริยศาสตร์ ศึกษาจากพระไตรปิฎก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการศึกษาสมัยใหม่ที่พระไตรปิฎกเป็นแหล่งภูมิปัญญาได้ไพศาลเช่นนั้น เพราะคุณลักษณะพิเศษที่โดดเด่นอย่างยิ่งคือ พระพุทธธรรมในพระไตรปิฎก เป็นปัญญาที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับมนุษย์ ธรรมชาติ และสังคม (พระธรรมปิฎก, ๑๑๗, ๒๕๔๑) และกระบวนการแสวงหาความรู้และวิธีการคิดทำให้เกิดความรู้ตามความเป็นจริง มองเห็นประโยชน์หลายระดับ มีการสืบค้นสาวเหตุปัจจัยมีการวิเคราะห์แยกแยะ และมีวิธีการคิดแบบมองหาคุณโทษและทางออก (พระธรรมปิฎก, ๑๔๒, ๒๕๔๑ซึ่งในหลายส่วนไม่มีความขัดแย้งกับวิธีการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นกระแสหลักของโลกในปัจจุบันนี้
พระไตรปิฎกเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ที่บริสุทธิ์ เป็นสากล ศาสนิกชนทุกศาสนาศึกษาได้อย่างอิสระ ที่เรียกว่า "พุทธศาสตร์" และสามารถศึกษาได้อย่างเป็นบูรณาการสหวิทยาที่เรียกว่า "พุทธศาสตร์สหวิทยาบูรณาการ" เหมาะสมกับยุคสมัยแห่งโลกาภิวัตน์ จึงกล่าวได้ว่า พระไตรปิฎกเป็นแหล่งพลังที่ยิ่งใหญ่หนึ่งของมนุษยชาติในยุคโลกาภิวัตน์ด้วยจริยธรรมแนวกุศลกรรมบถ
จากการค้นคว้าทางด้านพระคัมภีร์ทางศาสนาของศาสนาต่าง ๆ ของโลก เช่น ศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม เป็นต้น พบว่า การศึกษาพระคัมภีร์ทางศาสนาล้วนแล้วแต่ได้รับการสถาปนาเป็น "หนังสือแห่งความศักดิ์สิทธิ์" เป็น "พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า" ศาสนิกชนทั้งหลายต่างมุ่งมั่นศึกษาอย่างเอาจริงเอาจังเป็นศาสนกิจที่สำคัญของครอบครัว ศึกษากันมาแต่เยาว์วัย เป็นการวางรากฐานแก่นศาสนธรรมให้แน่นแฟ้นก่อนที่จะออกไปแสวงหาความรู้ทางโลกในวิชาชีพด้านต่าง ๆ เด็กที่ฝึกอ่านพระคัมภีร์จะเติบโตเป็นเด็กที่รักการอ่านและการแสวงหาความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง มีความเฉลียวฉลาดเป็นพิเศษด้านภาษาและปฏิภาณการใช้เหตุผลอย่างเหมาะสม เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จึงถึงพร้อมด้วยความเป็นบุคคลที่มีความรู้และภูมิปัญญาที่สง่างาม ในศาสนายูดาย มีรับไบหรือครูผู้ทรงภูมิธรรมทางศาสนา ได้กล่าวสอนไว้ว่า ถ้าชีวิตของเราเกิดภาวะอับเฉาตกอับลำเค็ญตกงานไร้อาชีพ อย่าท้อแท้ อย่าละทิ้งการศึกษาพระธรรมคัมภีร์ทางศาสนา แต่ยิ่งต้องศึกษาพระวจนธรรมให้รู้ชัด แล้วบุคคลนั้นจะบังเกิดปัญญาความสามารถพิเศษที่ทำให้สามารถหางานทำเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง ชีวิตจะมีความเจริญรุ่งโรจน์ ไม่อับเฉาอีกต่อไป
เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนิกชนต่าง ๆ แล้ว พุทธศาสนิกชนไทยยังให้ความสนใจศึกษาหาแก่นพระพุทธธรรมในพระไตรปิฎกน้อย ที่เห็นได้ชัด คือ การศึกษาที่เป็นกิจกรรมสำคัญของครอบครัว โดยต่างมีข้อแย้งข้ออ้างต่าง ๆ กันไป ทั้ง ๆ ที่ พระไตรปิฎก เป็นพระพุทธวจนะ ที่รวมเป็นศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยสภาพแห่งธรรมแล้วเป็นสัจธรรมที่ให้ภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์ ที่ศึกษาได้ในทุกแง่ทุกมุม สาระธรรมก็มีหลายระดับตั้งแต่เรื่องราวที่สนุก เข้าใจง่าย อ่านแล้วน่าเพลิดเพลินสำหรับเด็ก ๆ ตั้งแต่ชั้นอนุบาล เช่น พระพุทธประวัติ เรื่องเล่าในพระสูตรต่าง ๆ ชาวบ้านทั่วไปก็เข้าใจได้ไปจนถึงระดับอุดมศึกษาปริญญาตรี โท เอก
มีข้อที่น่าสังเกตว่า ถ้าใครได้ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้งแล้ว จะทำให้เกิดอัจฉริยภาพทางด้านภาษาและวรรณกรรม ในสังคมไทยเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีนักคิดนักเขียนหลายท่าน ที่ถ่ายทอดความรู้จากพระไตรปิฎกออกมาสู่สาธารณชน มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับกันในฐานะนักปราชญ์ราชบัณฑิต ศึกษาพระไตรปิฎกมาก ๆ ทำให้เข้าใจโลก ชีวิตตนเอง และคนรอบด้านได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เป็นคนที่คล่องแคล่วในการแก้ปัญหา เป็นนักปฏิบัตินิยม คือ รู้แล้วนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งปัจจุบันมีพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่อ่านเข้าใจง่ายเป็นภาษาไทยร่วมสมัย จึงเป็นวาระสำคัญที่พุทธศาสนิกชนไทยจะมารวมตัวกันอ่านพระไตรปิฎก และสนทนาธรรมกันให้สนุกเป็นกิจวัตรประจำวันที่ขาดไม่ได้ของชาวพุทธ สังคมไทยพุทธจะได้หมดปัญหาเรื่องการอธิบายพระพุทธธรรมที่คลาดเคลื่อนบิดเบือนไปจากคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความรู้จริง รู้แจ้ง มีศรัทธาที่คู่กับปัญญา
สำหรับคนรุ่นใหม่แล้ว ศาสนธรรมยังเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้หรือไม่ ทั้งนี้เพราะ คนไทยสมัยใหม่ ในกระแสวัตถุนิยม เสรีนิยม และบริโภคนิยม มีคนจำนวนไม่น้อยถือคติในหลักประโยชน์นิยมทางวัตถุ กล่าวคือ ถ้าจะเลือกตัดสินใจกระทำสิ่งใด ก็ต้องคำนวณดูว่า "ทำแล้วจะได้ผลตอบแทนอะไรที่เป็นรูปธรรมกลับคืนมาบ้างและคุ้มหรือไม่" ในที่นี้ก็คือถามว่า "ศึกษาพระไตรปิฎก พระพุทธธรรมที่ประกาศไว้ตั้ง ๒๕๔๒ ปีแล้ว จะได้ผลประโยชน์อะไรตอบแทนกลับคืนมาอย่างเป็นรูปธรรมบ้าง" นั่นเอง
คำตอบนี้มีอยู่อย่างชัดเจนในใจของคนรุ่นใหม่อยู่แล้ว ถ้าถามย้อนกลับไปว่าความพยายามทั้งหลายที่เราทุกคนดิ้นรนต่อสู้กระทำไปอยู่ทุกวันนี้ เราทำไปเพื่ออะไรเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มิใช่เพราะเรากระทำไปเพื่อแสวงหาจุดหมายของชีวิตหรือ นั่นคือ ความสุข ความสงบ ความปลอดภัย ความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน สิ่งที่ดี ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราได้อย่างไร ถ้าเรามีความรู้ในการแสวงหาโภคทรัพย์แต่ขาดหลักธรรมในการดำรงชีวิต ขาดหลักปฏิบัติที่ดีเพียงพอที่จะคุ้มครองชีวิต โภคทรัพย์ และความสุขที่ยั่งยืนให้ตั้งมั่นอยู่ได้
อนึ่ง ที่เศรษฐกิจ การเมือง และสังคมไทยเราเกิดความง่อนแง่นมาจนถึงวันนี้มิใช่เพราะ "ศีลธรรมวิบัติ" หรอกหรือ วันนี้ ถ้าเราชาวไทยพากันหันมาศึกษาพระไตรปิฎก ย่อมจะเชื่อมั่นวางใจได้ว่า เราจะมีสติตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทและอยู่ในทางที่ดีที่ชอบ มีจริยธรรม ทั้งนี้เพราะเราทุกคนต่างตระหนักแล้วว่า ต่อให้สังคมไทยมีนักเศรษฐศาสตร์การเงิน การธนาคาร นักธุรกิจ ข้าราชการ และนักการเมืองที่จบการศึกษาสูงสุดจากสถาบันการศึกษาวิชาชีพชั้นนำของโลกที่ว่ายอดเยี่ยมที่สุดเพียงไร ถ้าเป็นความรู้ที่ไม่มีรากฐานที่แข็งแกร่งทางศาสนธรรมแล้ว ก็มักจะนำพาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของชาติไปสู่ความวิบัติและวิกฤต คนเก่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถใช้ความรู้ที่อุตส่าห์ใช้ทุนไปร่ำเรียนมาช่วยชาติให้พ้นจากหายนะและภัยที่กล่าวมาได้ การศึกษาศาสนธรรมในพระไตรปิฎก เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนสติปัญญาของคนรุ่นใหม่ และลูกหลานไทยในการพัฒนาประเทศชาติไปในทิศทางที่ชาญฉลาดเป็นไปเพื่อความดี ไม่เป็นโทษ ไม่ก่อภัย ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหล่านี้รวมเรียกว่าใช้ "ภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์" ซึ่งแสดงไว้อย่างมากมายในพระไตรปิฎกของเรา
มีรายงานการวิจัย หนังสือ วิทยานิพนธ์ บทความ เอกสาร ข้อเขียนต่าง ๆ นับได้เป็นหมื่นเป็นแสนเล่ม ที่เป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากการศึกษาพระไตรปิฎก มิใช่แต่เฉพาะเป็นภาษาไทยเท่านั้น ประเด็นที่จะนำเสนอต่อไปนี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาที่ได้จากการศึกษาพระไตรปิฎก จากรากฐานของ "ภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์" ตามลำดับ คือ
๑.ภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์
๒.คุณลักษณะของมนุษยภาพ
๓.ภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์ในพระไตรปิฎก

๑. ภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์

ศาสตร์ใด ๆ ที่เน้นการศึกษาเพื่อ "ความเป็นมนุษย์" อย่างแท้จริง เรียกว่า มนุษยนิยม (Humanism) เช่น ปรัชญาแนวมนุษยนิยม (Humanistic Philosophy) จิตวิทยาแนวมนุษยนิยม (Humanistic Psychology) การแพทย์แนวมนุษยนิยม (Humanistic Medicine) และการสาธารณสุขแนวมนุษยนิยม (Humanistic Public Health) เป็นต้น แนวทางนี้ จึงหมายถึง "สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์" เกี่ยวข้องกับ "ธรรมชาติของมนุษย์" และเกี่ยวข้องกับ "พฤติกรรมของมนุษย์" ที่แสดงออกมาทั้งทางด้านกายภาพ จิตภาพ และสังคมภาพ อย่างเป็นแบบแผนและกระบวนการที่ศึกษาได้
จากการศึกษาทำนองนี้ ทำให้ผู้ศึกษาต้องทำความเข้าใจให้ชี้ชัดได้ว่า มนุษย์ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับสัตว์และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นแล้ว มีความเหมือนหรือแตกต่างกันไปหรือไม่อย่างไร โดยเริ่มต้นจากการพิจารณาดูองค์ประกอบทางด้านชีววิทยา สรีรวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์ เมื่อพิจารณาดูสิ่งที่มนุษย์กระทำ คิด พูด และผลงานสร้างสรรค์ต่าง ๆ แล้ว ผลงานการกลั่นกรองทางด้าน "ศาสนธรรม" มีความเด่นชัด มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มิได้ดำรงชีวิตอยู่รอดได้แค่การบำรุงทางด้านร่างกาย แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องบำรุงทางจิตวิญญาณพร้อม ๆ กันไปด้วย ศาสนธรรม เป็นเครื่องบำรุงจิตวิญญาณมนุษย์ให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขเป็นแก่นแท้ของจริยธรรมในสังคมมนุษย์ ที่ยังหาไม่พบในสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ มนุษย์มีความตระหนักในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ (Human dignity) ซึ่งเป็นความรู้สึกซาบซึ้งที่หาพบได้ยากในสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น
ภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์ จึงเป็นรากฐานแห่งภูมิปัญญาทั้งหลายที่มีอยู่ในสังคมมนุษย์ เป็นสิ่งซึ่งหมายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้กระทำ รู้สึก นึกคิด จินตนาการ สร้างสรรค์ นวัตกรรม เพื่อความดี ความงาม ในการดำรงรักษาเผ่าพันธุ์มนุษยชาติได้อย่างมีคุณค่าแก่โลก

๒. คุณลักษณะของมนุษยภาพ

มนุษย์มีจุดกำเนิดเริ่มแรกเดิมทีมาจากไหน ยังคงเป็นความเร้นลับที่ยังไม่อาจรู้ได้อย่างแน่ชัดได้ ทั้ง ๆ ที่นักปราชญ์ทั้งหลายต่างพยายามสืบค้นอยู่ทุกวิถีทาง อเล็กซิส คาร์เร็ล (Alexis Carrell, 1935) ได้กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ Man the Unknown มนุษย์ผู้ไม่รู้ที่มา ว่า มนุษย์เป็นผู้ไม่รู้กำเนิดที่มาของตนเอง แต่เป็นผู้ที่มีศักยภาพสูงสุดที่รู้ว่า มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร มนุษย์มีคุณลักษณะอย่างไรและแตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ อย่างไร คุณลักษณะแห่งมนุษยภาพที่เห็นเด่นชัดได้แก่ การพัฒนาด้านจิตใจ สติปัญญา และมโนธรรมสำนึก
มนุษยภาพด้านการพัฒนาจิตใจ คือ ความสามารถในการยกจิต อยู่เหนือวัตถุอยู่เหนือกายภาพ เหนือโลกียวิสัย บรรลุภูมิธรรมระดับโลกุตรธรรม ฝึกจิตใจให้มีความสงบระงับได้ในทุกอิริยาบถ
มนุษยภาพด้านปัญญา คือ ความสามารถในการใช้ปัญญา กระบวนการคิดการใช้เหตุผล การคิดอย่างเป็นระเบียบวิธี การคิดเพื่อแสวงหาความรู้ใหม่ การคิดเพื่อแสวงหาความเข้าใจตามความเป็นจริง การถ่ายทอดความรู้คิด การใช้ความคิดเชิงสัมพัทธภาพ การคิดเพื่อการสื่อความหมาย การคิดสังเคราะห์ต่าง ๆ การคิดเกี่ยวกับอัตสังกัปของตน การคิดเพื่อวางแผนการกระทำในอนาคต การคิดตรวจสอบและประเมินผล การคิดเชิงประวัติศาสตร์ที่มองย้อนกลับไปสู่อดีต รู้จักการอ้างอิงความคิดและประสบการณ์ของผู้อื่นมาใช้ในการอธิบาย แบบแผนการคิดต่าง ๆ ของมนุษย์ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและอารยธรรมของมนุษยชาติ
มนุษยภาพด้านมโนธรรมสำนึก เป็นสำนึกทางมนุษยธรรม ที่เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงชะตากรรมของมนุษยชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกธรรมชาติที่มนุษย์ได้อาศัยอยู่ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตระหนักในคุณธรรม จริยธรรม จนพร่ำสอนกันมาในหมู่มนุษย์ว่า คุณธรรมเป็นสิ่งที่แยกมนุษย์จากสัตว์อื่น ๆ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ เพราะมีคุณธรรม รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้ว่าคนเราเมื่ออยู่ร่วมกันพึงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อกันอย่างไร มีแบบแผนที่ดีงามสำหรับความประพฤติ มีการใคร่ครวญถึงการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานในการตัดสินปัญหาทางจริยธรรม

๓. ภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์ในพระไตรปิฎก

เมื่อสำรวจพรมแดนความรู้ที่ได้จากพระไตรปิฎกแล้ว เราจะพบว่า องค์ความรู้ที่ได้นั้นจำแนกประเภทของความรู้และภูมิปัญญาได้อย่างน้อย ๕ กลุ่มใหญ่ คือ (๑) ภูมิปัญญาด้านภาษาและวรรณกรรม (๒) ภูมิปัญญาด้านการจัดระเบียบสังคมมนุษย์ (๓) ภูมิปัญญาด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์ ได้แก่หลักชีว-สรีรวิทยามนุษย์ หลักกายวิภาคศาสตร์มนุษย์ หลักจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์มนุษย์ (๔) ภูมิปัญญาด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เช่น เภสัชศาสตร์และอายุรเวทแผนไทย และ (๕) ภูมิปัญญาทางด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ จริยศาสตร์ และ การสื่อสารมวลชน เป็นต้น
ภูมิปัญญาที่กล่าวมาทั้งหมดเหล่านี้ ต่างมีรากฐานมาจากภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ
๓.๑ ภูมิปัญญาด้านภาษาและวรรณกรรมในพระไตรปิฎก เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของภาษาไทย ภาษาเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการสื่อความหมายร่วมกัน อย่างมีแบบแผนมีระเบียบวิธีการใช้ มีโครงสร้างทางไวยากรณ์ และวรรณกรรมที่ทำให้การสื่อภาษามีพลังในการถ่ายทอดความรู้คิด เช่น คุณสมบัติที่เรียกว่า "การอุปมาอุปมัย" ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างการเปรียบเทียบระหว่างปรากฏการณ์ธรรมชาติของมหาสมุทร กับพระธรรมวินัย
พระพุทธวจนะว่า "บริษัทไม่บริสุทธิ์" อุทานคาถาว่า "สิ่งที่ปิดไว้ย่อมรั่วได้สิ่งที่เปิดย่อมไม่รั่ว เพราะฉะนั้น จงเปิดสิ่งที่ปิด เช่นนี้ สิ่งที่เปิดนั้นจักไม่รั่ว" พระพุทธพจน์นี้มีนัยลึกซึ้งอย่างไร ต้องพิจารณาอย่างประณีตจากพระพุทธวจนะประกอบที่ว่า "ความอัศจรรย์ของมหาสมุทร ๘ ประการ" อุปมาอุปมัยเปรียบเทียบกับ "ความอัศจรรย์ของพระธรรมวินัย ๘ ประการ (วิ.จู. (แปล) ๗/๓๘๔/๒๘๐-๒๙๒)
เหตุการณ์มีอยู่ว่า เมื่อครั้งที่พระบรมศาสดา ประทับอยู่ ณ ปราสาทในปุบผารามของนางวิสาขามิคารมารดา พระนครสาวัตถี เป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ พระภิกษุสงฆ์ต่างมาประชุมเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกันอยู่ เวลาผ่านไปจนเกือบรุ่งเช้า แม้พระอานนท์เถระจะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลาย พระพุทธองค์ก็ทรงนิ่งจนท้ายที่สุดได้ตรัสว่า "ดูก่อนอานนท์ บริษัทไม่บริสุทธิ์"
ท่านพระโมคคัลลานเถระ ได้ฟังดังนั้นก็พิจารณาความว่า หมายถึงอย่างไร หมายถึงใคร และได้กระทำมนสิการกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ทั้งหมดด้วยจิต จึงได้เห็นว่ามีบุคคล "ผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ ไม่ใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารี ปฏิญาณว่า เป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองนั้นนั่งอยู่ ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์" บุคคลเช่นนี้เป็นผู้ที่ทำให้ "บริษัทไม่บริสุทธิ์" พระพุทธองค์จึงทรงให้งดแสดงปาติโมกข์แก่ภิกษุมีอาบัติติดตัว โดยพระพุทธองค์ทรงแสดงเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนดังต่อไปนี้

ความอัศจรรย์ของมหาสมุทร ๘ ประการที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร

ความอัศจรรย์ของพระธรรมวินัย ๘ ประการที่พวกภิกษุทั้งพบเห็นแล้วต่างพากันยินดี ในพระธรรมวินัยนี้

๑.มหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที

๑.พระธรรมวินัยมีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที

๒.น้ำในมหาสมุทรมีปกติคงที่ไม่ล้นฝั่ง

๒.สาวกทั้งหลายของเรา ย่อมไม่ละเมิด สิกขาบทที่บัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต

๓.มหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพ ย่อมซัดซากศพขึ้นจนถึงบนบกทันที

๓.สงฆ์ (ในพระธรรมวินัยนี้)ไม่ร่วมกับผู้ทุศีลและจะขับไล่ให้ไกลจากสงฆ์

๔.มหานทีทุกสาย ไหลลงสู่มหาสมุทร แล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม รวมเรียกว่ามหาสมุทรทั้งสิ้น

๔.คนในวรรณะ ๔ เหล่า คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร เมื่อออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม รวมเรียกว่าสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ทั้งสิ้น

๕.แม่น้ำสายใดสายหนึ่งในโลกที่ไหลไปรวมลงสู่มหาสมุทร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้า ก็ไม่ทำให้มหา สมุทรพร่องหรือเต็มได้

๕.ในพระธรรมวินัยนี้ แม้มีภิกษุจำนวนมากปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส-นิพพาน ก็ไม่ทำให้นิพพานพร่องหรือเต็มได้

๖.มหาสมุทรมีรสเดียวคือรสเค็ม

๖.พระธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติ-รส (ความหลุดพ้น)

๗.มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ แก้วมุกดา ฯลฯ

๗.พระธรรมวินัยนี้มีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ ฯลฯ

๘.มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ขนาดใหญ่ คือ ปลาติมิ ฯลฯ มีตัวขนาดใหญ่ ๑๐๐ - ๕๐๐ โยชน์

๘.พระธรรมวินัยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ใหญ่ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ และผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุอริยผล ๔

๓.๒ภูมิปัญญาในการจัดระเบียบสังคมมนุษย์
พระวินัย พระบัญญัติ การออกกฎหมาย กฎระเบียบ เป็นรากฐานนิติธรรมในการจัดระเบียบสังคมสำหรับการอยู่รวมกันเป็นชนหมู่มาก ที่ปรากฏเป็นหลักสำคัญในทุกศาสนา เป็นภูมิปัญญาที่แสดงถึงอารยธรรมชั้นสูงของมนุษยชาติ เป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์ทุกคนต้องเรียนรู้มิฉะนั้นแล้ว จะวางตัวอยู่ในสังคมอยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดีงามไม่ได้
พระวินัย เป็นกฎข้อบังคับ ที่มีลักษณะเป็นกฎหมายของสังคมสงฆ์ ให้งดเว้นการกระทำและอนุญาตการกระทำสำหรับบริหารในหมู่คณะ มีอำนาจ คือ คอยกำกับ มีบทลงโทษแก่ผู้ฝ่าฝืน มีระเบียบแบบนำให้ผู้กระทำผิดได้กลับตัวทำให้ถูก เป็นกฎข้อบังคับที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติขึ้นจากธรรมชาติของสิ่งทั้งปวง มีตั้งแต่อนาคาริยวินัย ได้แก่ วินัยของบรรพชิต คือ ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี กล่าวเฉพาะของภิกษุรวม ๒๒๗ สิกขาบท จนถึงอาคาริยวินัย ได้แก่ วินัยของคฤหัสถ์ คือ อุบาสก อุบาสิกา ได้แก่ ศีล ๕ และศีล ๘ หรืออุโบสถศีล ตลอดถึงการเว้นจากอบายมุขต่าง ๆ
หลักการที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติพระวินัย เป็นแบบแผนมรดกโลกทางด้านนิติธรรม ซึ่งจะทำให้ไม่ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในทางปฏิบัติเมื่อนำไปใช้กับคนหมู่เหล่าที่มีความแตกต่างหลากหลาย เช่น ปัญหาการกระทำที่ถูกกฎหมายแต่ผิดศีลธรรม ที่มักเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในสังคมปัจจุบัน ถ้าสังคมไทยเราอยู่ร่วมกันด้วยหลักพระวินัยแล้ว เราคงไม่ต้องลงทุนสร้างคุกตะรางมาขังใคร เพราะถ้าคนเราตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยให้มีความประพฤติชอบอยู่ในธรรมวินัย ที่นำความประพฤติของคนทุกคนให้สม่ำเสมอกัน อย่างอำนวยประโยชน์สงบระงับใจ วาจา กาย มีชีวิตอย่างมีศีลธรรมต่อกัน ป้องกันโทษที่เกิดจากการประพฤติเสื่อมจากศีลธรรม พัฒนาอบรมใจ วาจา กาย ให้เกิดความเข้าใจในคุณธรรมดีและโทษของความชั่ว รู้กฎแห่งกรรม ไม่ทำความเดือดร้อน วิบัติ เบียดเบียน ไม่ก่อทุกข์โศกวิโยคหายนะภัยแก่สรรพชีวิตและโลก อยู่อย่างคนฉลาดรู้หลักแห่งการพ้นทุกข์ทั้งในโลกนี้และภพหน้า
นี่คือภูมิปัญญาด้านนิติธรรม ที่ประชาชนควรได้รับการปลูกฝังบ่มเพาะให้อยู่ในวิถีปฏิบัติ อีกทั้งท่านที่ประกอบภารกิจหน้าที่ทางด้านนิติบัญญัติ หน้าที่ทางด้านการอำนวยความยุติธรรมแก่สังคม ควรได้รับการศึกษาอย่างเป็นหลักสูตรบังคับบรรจุไว้ในการศึกษาวิชาการทางด้านกฎหมาย เหมือนอย่างที่ในโลกทางตะวันตก การศึกษากฎหมาย จะต้องศึกษากฎหมายพระบัญญัติ (The Biblical Law) ด้วย จึงจะได้ชื่อว่ามีความรอบรู้อย่างแท้จริงทางกฎหมาย พระวินัยและพระบัญญัติทางศาสนา ต่างยืนยันหลักการเป็นเสียงเดียวกันว่าหลักทางกฎหมายต้องควบคู่ไปกับหลักปฏิบัติทางศีลธรรมอย่างสอดคล้องต้องกัน จะแตกแยกไปคนละทิศละทางไม่ได้ ประชาคมโลกของเรา ควรยุติที่จะมาทุ่มเถียงกันแล้วว่า การกระทำที่ผิดศีลธรรม แต่ถูกกฎหมาย เป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่ได้ตามหลักนิติธรรม ซึ่งในสังคมศาสนายูดาย คาธอลิค และมุสลิม ต่างมีข้อยุติที่ชัดเจนว่า การกระทำที่ผิดพระวินัย พระบัญญัติ ผิดหลักศีลธรรม เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างไม่มีข้ออ้างใด ๆ ทั้งสิ้น ในขณะที่ชาวพุทธในยุคกึ่งพระพุทธกาล กลับมีผู้พยายามจะมาหักล้างพระวินัย โดยกล่าวอ้างว่า การประพฤติผิดพระวินัย ไม่ใช่การผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ และการละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน ข้ออ้างเช่นนี้เป็นการสร้างกระแสความคิดที่ผิดอย่างอุกฉกรรจ์
๓.๓ ภูมิปัญญาในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพการงาน
ชีวิตมนุษย์กว่าจะผ่านไปในแต่ละช่วงวัย ต้องเผชิญกับภาวะความเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา กฎแห่งความผันแปรนี้ ไม่มีใครมาควบคุมห้ามไว้ได้เลย บ้างก็เรียกกฎนี้ว่า กฎแห่งเหตุผล บ้างก็เรียกว่ากฎแห่งความเปลี่ยนแปลง พระพุทธธรรมเรียกว่า กฎไตรลักษณ์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นผลมาจากเหตุปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบมากมาย บางครั้ง บางคน ปรับตัวไม่ทัน เกิดภาวะสับสนในชีวิตอย่างรุนแรง เกิดอาการตระหนก ความทุกข์อย่างสาหัสในชีวิตของคนแต่ละคน มีผลต่อความเป็นความตายของชีวิตมนุษย์เหลือจะพรรณนาในหลาย ๆ กรณี แพทย์และการรักษาที่ทันสมัยที่สุดยังมิอาจเยียวยาบุคคลที่วิปริตไปเพราะความทุกข์ได้ การป้องกันอันตรายจากความพลิกผันของชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นแก่ทุก ๆ คนที่ตั้งมั่นอยู่บนความไม่ประมาท พระไตรปิฎกเป็นแหล่งภูมิปัญญาสำหรับจิตวิญญาณที่รู้เท่าทันชีวิตครั้งหนึ่งขณะที่พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ได้ทรงปรารภพ่อค้ามีทรัพย์มาก ผู้เฝ้าคิดแต่จะทำมาหากิน โดยไม่รู้อันตรายแห่งชีวิตของตน ซึ่งท่านพระอานนท์ก็ได้ปรารภว่า เป็นเรื่องยากที่คนเราจะล่วงรู้ว่า อันตราย ความตายของชีวิตจะมาเยือนเมื่อไร เว้นแต่คนคนนั้นจะเป็นผู้ไม่ประมาท คนเขลามักจะคิดว่า "เราจักอยู่ตลอดเวลานั้นเวลานี้" "คนเขลาย่อมไม่รู้อันตรายแห่งชีวิต (จากมรรควรรควรรณนา เรื่องพ่อค้าผู้มีทรัพย์มาก) สิ่งที่จะช่วยให้คนเราเผชิญกับปัญหาชีวิตได้เป็นอย่างดี คือ ความสงบมั่นคงแจ่มใสภายในจิตใจในมลสูตร ว่าด้วยมลทินภายใน ๓ ประการที่เปรียบเสมือนศัตรูภายในตนเอง หรือข้าศึกภายใน ๓ ประการ คือ อกุศลกรรมบถ ๓ คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ที่สามารถเป็นเพชฌฆาตทำให้ชีวิตล่มจมได้ ดังกล่าวไว้ว่า "
โลภะก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
โลภะทำให้จิตกำเริบ โลภะเป็นภัยที่เกิดภายใน
คน(ส่วนมาก)ไม่รู้จักภัยนั้น
คนโลภไม่รู้จักผล คนโลภไม่รู้จักเหตุ
ความโลภครอบงำนรชนเมื่อใด
ความมืดบอดย่อมมีเมื่อนั้น
ส่วนผู้ใดละโลภะได้
ไม่ทะยานอยากในอารมณ์ที่เป็นเหตุแห่งความโลภ
โลภะจะถูกอริยมรรคละได้เด็ดขาดไปจากผู้นั้น
เหมือนหยาดน้ำกลิ้งตกจากใบบัว ฉะนั้น
โทสะก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
โทสะทำให้จิตกำเริบ โทสะเป็นภัยที่เกิดภายใน
คน(ส่วนมาก) ไม่รู้จักภัยนั้น
คนโกรธไม่รู้จักผล คนโกรธไม่รู้จักเหตุ
ความโกรธครอบงำนรชนเมื่อใด
ความมืดบอดย่อมมีเมื่อนั้น
ส่วนผู้ใดละโทสะได้
ไม่ขัดเคืองในอารมณ์ที่เป็นเหตุแห่งความขัดเคือง
โทสะจะถูกอริยมรรคละได้เด็ดขาดไปจากผู้นั้น
เหมือนผลตาลสุกหลุดจากขั้ว ฉะนั้น
โมหะก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
โมหะทำจิตให้กำเริบ โมหะเป็นภัยที่เกิดภายใน
คน(ส่วนมาก)ไม่รู้จักภัยนั้น
คนหลงไม่รู้จักผล คนหลงไม่รู้จักเหตุ
ความหลงครอบงำนรชนเมื่อใด
ความมืดบอดย่อมมีเมื่อนั้น
ส่วนผู้ใดละโมหะได้
ไม่ลุ่มหลงในอารมณ์ที่เป็นเหตุแห่งความหลง
ผู้นั้นย่อมกำจัดโมหะทั้งหมดได้เด็ดขาด
เหมือนดวงอาทิตย์กำจัดความมืด ฉะนั้น
(ขุ.อิติ. (แปล) ๘๘/๔๕๖-๔๕๘)


ในการดำรงชีวิตที่เกี่ยวกับบุคคลอื่น มีบางครั้งที่การกระทำของเราไปกระทบในทางไม่เป็นสุขแก่เขา หรือเขากระทำต่อเราทำให้เราโกรธ อาการโกรธ เปรียบได้กับไฟที่เผาผลาญในใจของผู้โกรธ ต่อมาจะเกิดการผูกใจเจ็บต้องแก้แค้นจองเวรกันและกันไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่า "การจองเวรกัน" ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า "การจองเวรกันให้เกิดทุกข์เหมือนเรื่องแม่ไก่ผูกอาฆาตนางกุมาริกา สาเหตุคือ นางแม่ไก่ ตกไข่แล้วถูกนางกุมาริกานำเอาไข่ไปเคี้ยวกิน ก็ให้รู้สึกเจ็บใจอาฆาตว่า ถ้าตายไปจะไปเกิดใหม่แล้วมากินทารกของนางทาริกาบ้าง ต่อมานางกุมาริกา ตายไปแล้วเกิดเป็น แม่ไก่ ส่วนนางแม่ไก่ตายไปแล้วเกิดใหม่เป็น นางแมว พอนางกุมาริกาที่เกิดเป็นแม่ไก่ตกไข่ นางแมวนั้นก็เอาไข่ไปเคี้ยวกิน แล้วต่างฝ่ายต่างก็อาฆาตมุ่งร้ายต่อกันไปอีกหลายชาติ เป็นที่น่าอนาถใจ ในเรื่องท่านเองนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า "ผู้ใดปรารถนาสุขเพื่อตน ด้วยการก่อทุกข์ให้คนอื่น ผู้นั้นต้องเกี่ยวพันกับเวรไม่พ้นจากเวรไปได้" (ขุ.ธ. (แปล) ๒๕/๒๙๑/๑๒๓)
ในการดำเนินชีวิตหลาย ๆ ครั้งที่เราต้องเลือกตัดสินใจว่า จะกระทำอย่างสุจริตหรืออย่างทุจริต เพื่อให้ได้ประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมในปริมาณที่มากที่สุด ผลประโยชย์ที่มาล่อตาล่อใจทำให้การตัดสินใจที่ถูกต้องถูกท้าทายให้ไขว้เขวไปในทางที่มิชอบได้เสมอ มีคดีอาชญากรรมหลาย ๆ คดี เกิดขึ้นจากความรู้สึกภายในที่มองดูเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ ๆ ทีเดียว เช่น เรื่องราวของหญิงขี้หึงคนหนึ่ง ได้ยินว่า สามีของนางได้ทำความเชยชิดกับหญิงรับใช้ในบ้านคนหนึ่ง จึงไม่พอใจจับหญิงคนใช้มามัดมือมัดเท้าแล้วตัดหู ตัดจมูก นำตัวไปขังไว้ในห้องปกปิดการกระทำประทุษร้ายของตน จากนั้นก็ชวนสามีไปฟังธรรมของพระพุทธองค์ หญิงคนใช้หนีหลุดออกมาจากห้องคุมขังได้ ก็ไปที่วัดกราบทูลเนื้อความแก่พระพุทธเจ้าในท่ามกลางพุทธบริษัท ๔ พระศาสดาทรงสดับคำของหญิงรับใช้แล้ว จึงตรัสว่า "ขึ้นชื่อว่า ทุจริตแม้เพียงเล็กน้อย บุคคลไม่ควรทำด้วยความสำคัญว่า ชนพวกอื่นย่อมไม่รู้กรรมนี้ของเรา" ส่วนสุจริตนั่นแหละ เมื่อคนอื่นแม้ไม่รู้ ก็ควรทำ เพราะว่า ขึ้นชื่อว่าทุจริต แม้บุคคลปกปิดทำ ย่อมทำการเผาผลาญในภายหลัง ส่วนสุจริตย่อมยังความปราโมทย์อย่างเดียวให้เกิดขึ้น" ดังนี้แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
อกตํ ทุกฺกตํ เสยฺโยปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกตํ
กตญฺจ สุกตํ เสยฺโยยํ กตฺวา นานุตปฺปติ.
"ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะระลึกถึงความชั่ว บุคคลย่อมเดือดร้อนในภายหลัง
ส่วนความดี ทำไว้เถิดดีกว่า
เพราะทำแล้ว ระลึกถึงภายหลัง บุคคลย่อมไม่เดือดร้อน"
ชีวิตมนุษย์มีทางออกที่ดีและถูกต้องเสมอ เมื่อบุคคลได้ศึกษาพระไตรปิฎก จะเกิดภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์ ภูมิปัญญาไทที่แท้จริง.

อ้างอิง
๑.มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา-ลงกรณราชวิทยาลัย, เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พุทธศักราช ๒๕๓๙.
๒.มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พระสูตรและอรรถกถา แปล ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เล่มที่ ๑ ภาคที่ ๔, พิมพ์เนื่องในวโรกาส ครบ ๒๐๐ ปี แห่งพระราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๕๒๕
๓.พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต), พุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๔๑
๔.Harman, Willis W., "An Incomplete Guide To The Future", Stanford A Alumni Association, Stanford University, U.S.A., 1976.
๕. Featherston, Mike, ed., " Global Culture : Nationalism, Globalization and Modernity", Sage Publications, 1992.

top