ความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎก l ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระไตรปิฎก l พระไตรปิฎกวิจารณ์ l บทความพระไตรปิฎก  

ดูบทความอื่นๆ หน้าหลัก

แก่นธรรมจากทีฆนิกาย


พระเมธีรัตนดิลก เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร
2542 หน้า 101 - 128


ทีฆนิกายเป็นนิกายแรกของพระสุตตันตปิฎก หมายถึงประมวลพระสูตรขนาดยาว แบ่งออกเป็น ๓ ตอนหรือหมวด เรียกว่า วรรค คือ
๑.สีลขันธวรรค หมวดว่าด้วยศีลและทรรศนะต่าง ๆ ทั้งในพระพุทธศาสนา และนอกพระพุทธศาสนา มี ๑๓ พระสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ ฉบับมหาจุฬา-ลงกรณราชวิทยาลัย ภาษาบาลีมีจำนวน ๒๔๗ หน้า เมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วก็มีจำนวน ๒๔๗ หน้า
๒.มหาวรรค หมวดที่ประมวลเอาพระสูตรที่มีคำว่า มหาเป็นคำต้นชื่อมารวมไว้มี ๑๐ พระสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ภาษาบาลีมีจำนวน ๓๐๒ หน้า เมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วมีจำนวน ๓๗๒ หน้า
๓.ปาฏิกวรรค เป็นหมวดที่มีชื่อตามชื่อของพระสูตรแรกของวรรคนี้ที่มีชื่อว่า ปาฏิกสูตร มี ๑๑ พระสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ ฉบับมหาจุฬาลงกรณ-ราชวิทยาลัย ภาษาบาลีมีจำนวน ๒๘๓ หน้า เมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วมีจำนวน ๔๓๘ หน้า
เนื้อหาแห่งพระสูตรในทีฆนิกายถือกันว่าเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าชั้นดั้งเดิมที่สุด เท่าที่มีการบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ในบทความนี้จะขอประมวลเอาหลักธรรมในทีฆนิกายที่สำคัญมาแนะนำไว้โดยสรุป พอเป็นแนวทางให้ท่านผู้สนใจได้ติดตามไปค้นคว้าหาอ่านได้โดยละเอียดในพระไตรปิฎก ซึ่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้จัดพิมพ์เผยแพร่แล้วทั้งฉบับภาษาบาลีและฉบับภาษาไทย โดยเฉพาะพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีลักษณะพิเศษ คือ มีบทนำ สำหรับให้ท่านผู้อ่านได้อ่านให้เกิดความเข้าใจเป็นพื้นฐานก่อนเข้าไปอ่านความเต็มในตัวพระสูตร เพื่อให้กำหนดเนื้อความได้ง่ายขึ้น
หลักคำสอนที่สำคัญในทีฆนิกาย นำมาสรุปไว้ดังต่อไปนี้
๑.ศีล ในทีฆนิกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพรหมชาลสูตร แบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ จูฬศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล๑ ตรัสไว้ว่าปุถุชนเมื่อจะยกย่องพระองค์จะยกย่องด้วยเรื่องเพียงระดับศีลเท่านั้น คือ
๑.๑ จูฬศีล คือ ศีลเล็กน้อยระดับต้น ตรัสไว้ ๒๖ ข้อ พอสรุปได้ดังนี้
๑)งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ไม่ใช้อาวุธ มีความละอาย เอ็นดู ทั้งเกื้อกูลสรรพสัตว์
๒)งดเว้นจากการขโมย รับเอาแต่ของที่เจ้าของให้เท่านั้น
๓)งดเว้นจากการเสพเมถุนธรรม (การร่วมเพศ) ประพฤติพรหมจรรย์
๔)งดเว้นจากการพูดเท็จ ไม่หลอกลวงชาวโลก
๕)งดเว้นจากการพูดส่อเสียดทำให้แตกแยก พูดแต่ถ้อยคำที่สร้างสรรค์ความสามัคคี
๖)งดเว้นจากการพูดคำหยาบ พูดแต่คำไม่มีโทษไพเราะน่ารัก
๗)งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อไร้ค่า พูดแต่คำสัตย์คำจริงถูกเวลา มีประโยชน์
๘)งดเว้นจากการพรากทำลายพีชคามและภูตคาม คือพืชพรรณต่าง ๆ
๙)งดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๑๐)งดเว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรีและดูมหรสพ
๑๑) งดเว้นจากการทัดทรง ประดับดอกไม้ และตบแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับต่างๆ
๑๒)งดเว้นจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่
๑๓)งดเว้นจากการรับเงิน รับทอง
๑๔)งดเว้นจากการรับธัญญาหารดิบ
๑๕)งดเว้นจากการรับเนื้อดิบ
๑๖)งดเว้นจากการรับเลี้ยงสตรีและเด็กหญิง
๑๗)งดเว้นจากการรับทาส ชาย หญิง
๑๘)งดเว้นจากการรับแพะ และแกะ
๑๙)งดเว้นจากการรับไก่ และสุกร
๒๐)งดเว้นจากการรับช้าง โค ม้า และลา
๒๑)งดเว้นจากการรับเรือกสวน ไร่นา และที่ดิน
๒๒)งดเว้นจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนและสื่อสาร
๒๓)งดเว้นจากการซื้อขาย
๒๔)งดเว้นจากการโกงด้วยเครื่องมือ ชั่ง ตวง วัด
๒๕)งดเว้นจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง
๒๖)งดเว้นจากการตัดทำลายอวัยวะ การฆ่า การจองจำ การตีชิงวิ่งราว การปล้น การขู่กรรโชก
๑.๒ มัชฌิมศีล คือ ศีลระดับกลางตรัสไว้ ๑๐ ข้อ คือ
๑) งดเว้นจากการพรากทำลายพีชคามและภูตคาม คือพืชพรรณต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดจากเหง้า ลำต้น ตา ยอด หรือเมล็ด
๒)งดเว้นจากการบริโภคของที่สะสมไว้ ไม่ว่าจะเป็นข้าว น้ำ ผ้า ยาน ที่นอน เครื่องประทินผิว ของหอม และเครื่องปรุงอาหารต่างๆ
๓)งดเว้นจากการดูการเล่นทุกอย่าง เช่น การฟ้อนรำ ขับร้อง ฯลฯ ตลอดจนการตรวจพลสวนสนาม การจัดกระบวนทัพ การตรวจกองทัพ
๔)งดเว้นจากการพนัน เครื่องเล่น และของเล่นต่างๆ
๕)งดเว้นจากการนอนบนที่นอนสูงชนิดต่างๆ๑ ที.สี. แปล. ฉบับ มจร. ๒๕๓๙, ๗/๓-๒๗/๑๐
๖)งดเว้นจากการประดับ และตบแต่งร่างกายทุกชนิด
๗) งดเว้นจากเดรัจฉานกถา คือเรื่องราวที่ขัดขวางทางสวรรค์นิพพาน เช่นเรื่องการรบ เรื่องการเมือง ฯลฯ
๘)งดเว้นจากการทุ่มเถียงแก่งแย่งอันเป็นเหตุให้เกิดวิวาทบาดหมาง
๙)งดเว้นจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทน และสื่อสาร แก่คนทุกระดับ
๑๐)งดเว้นจากการพูดหลอกลวง และเลียบเคียง
น่าสังเกตว่า มัชฌิมศีลนี้ขยายความจากจูฬศีลบางข้อ เช่น
มัชฌิมศีล ข้อ ๑ ขยายความจาก จูฬศีล ข้อ ๘
มัชฌิมศีล ข้อ ๓ ขยายความจาก จูฬศีล ข้อ ๑๐
มัชฌิมศีล ข้อ ๕ ขยายความจาก จูฬศีล ข้อ ๑๒
มัชฌิมศีล ข้อ ๖ ขยายความจาก จูฬศีล ข้อ ๑๑
มัชฌิมศีล ข้อ ๙ ขยายความจาก จูฬศีล ข้อ ๒๒
๑.๓ มหาศีล คือ ศีลชั้นสูง ตรัสไว้ ๗ ข้อ คือการงดเว้นจากเดรัจฉานวิชา๑แขนงต่างๆ ได้แก่
๑)วิชาทำนายต่างๆ และพิธีกรรมหลากหลายชนิด
๒)วิชาทำนายลักษณะสิ่งของศัตราวุธ และสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น
๓)วิชาดูฤกษ์ยามต่าง ๆ
๔)การพยากรณ์จันทรคราส สุริยคราส ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว ฯลฯ
๕)การพยากรณ์ฝนฟ้า ภิกษาหาร เป็นต้น
๖)พิธีบนบานแก้บน ไล่ผี ตั้งศาลพระภูมิ ฯลฯ เภสัชกรรม และเวชกรรมต่างๆ
ศีล ๓ ระดับนี้ตรัสไว้ในพระสูตรอื่นในทีฆนิกายด้วย เช่นในสามัญญผลสูตรและสุภสูตร ทรงแสดงว่า ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล งดเว้นจากข้อห้ามในศีล ๓ ระดับนี้
๒. ทิฏฐิ หรือทรรศนะ ๖๒ อย่าง เป็นทรรศนะ หลักปรัชญา หรือหลักลัทธิของเจ้าลัทธิต่าง ๆ นอกพระพุทธศาสนา สามารถจำแนกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ลัทธิที่ว่าด้วยขันธ์(ชีวิต)ในอดีต ๑๘ ลัทธิ เรียกว่าปุพพันตกัปปิกวาทะ และลัทธิที่ว่าด้วยขันธ์(ชีวิต)ในอนาคตและปัจจุบัน ๔๔ ลัทธิ เรียกว่า อปรันต-กัปปิกวาทะ
กล่าวโดยสรุปรวมยอด ทิฏฐิ ทรรศนะ หรือลัทธิทั้ง ๖๒ อย่างนี้ เป็นเรื่องแสดงความเชื่อถือเรื่องอัตตา คืออาตมัน ที่ศาสนาพราหมณ์ถือว่าสืบทอดมาจากพระพรหม (พรหมัน หรือปรมาตมัน) และเรื่องโลกคือ ภพ ภูมิ ต่าง ๆ ที่สัตว์ถือกำเนิดและอาศัยอยู่ พวกเจ้าลัทธิปุพพันตกัปปิกวาทะพวกหนึ่งเห็นว่าเที่ยง เพราะพวกเขาระลึกชาติก่อนของตนได้ มี ๔ พวก ตามระยะเวลาสั้นยาวที่ตนระลึกชาติได้ จัดเป็นพวกสัสสตวาที คือพวกที่มีความเห็นว่า อัตตา และโลกเที่ยง
อีก ๔ จำพวก มีความเชื่อว่า พระพรหมเที่ยง แต่พวกที่พระพรหมนิรมิตขึ้นมาไม่เที่ยง เทวดาบางพวกเที่ยง บางพวกไม่เที่ยง และอีกพวกหนึ่งคาดคะเนด้วยเหตุผลว่า อัตตาฝ่ายจิตเที่ยง ส่วนอัตตาฝ่ายกายไม่เที่ยง ทั้ง ๔ พวกนี้รวมเรียกว่า เอกัจจสัสสตวาที คือพวกที่มีความเห็นว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
อีก ๔ จำพวก มีความเห็นว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด โลกมีที่สุดเฉพาะด้านบนกับด้านล่าง ส่วนด้านกว้างไม่มีที่สุด โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่ ตามความคาดเดาของตน ทั้ง ๔ นี้ รวมเรียกว่า อันตานันติกวาที คือ จำพวกมีความเห็นว่าโลกมีที่สุดบ้าง โลกไม่มีที่สุดบ้าง
อีก ๔ จำพวก เรียกว่า อมราวิกเขปิกวาท มีความเห็นไม่แน่นอน พูดหลบเลี่ยงไปมาไม่ตายตัว
อีก ๒ จำพวก ถือว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุปัจจัย เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์พวก ๑ และคาดเดาเอาเองอีกพวก ๑
รวมเป็น ๑๘ จำพวก ในประเภท ปุพพันตกัปปิกวาทะ ลัทธิที่แสดงทรรศนะเรื่องขันธ์(ชีวิต)ในอดีต
ส่วน อปรันตกัปปิกวาทะ ลัทธิที่แสดงทรรศนะเรื่องขันธ์(ชีวิต)ในอนาคตและปัจจุบัน ๔๔ ลัทธิ ได้แก่
สัญญีวาทะ เห็นว่าอัตตาแห่งชีวิตในอนาคตจะมีสัญญา ๑๖ อย่าง มีความเชื่อดังต่อไปนี้
๑)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีรูป จะมีสัญญา
๒)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่ไม่มีรูป จะมีสัญญา
๓)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีรูปและไม่มีรูป จะมีสัญญา
๔)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีรูปก็ไม่ใช่ ไม่มีรูปก็ไม่ใช่ จะมีสัญญา
๕)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีที่สุด จะมีสัญญา
๖)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่ไม่มีที่สุด จะมีสัญญา
๗)หลังจากตายแล้ว อัตตาทั้งที่มีที่สุดและไม่มีที่สุด จะมีสัญญา
๘)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่ จะมีสัญญา
๙)หลังจากตายแล้ว อัตตาจะมีสัญญาอย่างเดียวกัน
๑๐)หลังจากตายแล้ว อัตตาจะมีสัญญาต่างกัน
๑๑)หลังจากตายแล้ว อัตตาจะมีสัญญาเพียงเล็กน้อย
๑๒)หลังจากตายแล้ว อัตตาจะมีสัญญามากหาประมาณมิได้
๑๓)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีแต่สุขอย่างเดียว จะมีสัญญา
๑๔)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีแต่ทุกข์อย่างเดียว จะมีสัญญา
๑๕)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ จะมีสัญญา
๑๖)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีทุกข์ก็ไม่ใช่ มีสุขก็ไม่ใช่ จะมีสัญญา
อสัญญีวาทะ เห็นว่า อัตตาของชีวิตในอนาคตจะไม่มีสัญญา ๘ อย่าง มีความเชื่อดังต่อไปนี้
๑๗)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีรูป จะไม่มีสัญญา
๑๘)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่ไม่มีรูป จะไม่มีสัญญา
๑๙)หลังจากตายแล้ว อัตตาทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป จะไม่มีสัญญา
๒๐)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีรูปก็ไม่ใช่ ไม่มีรูปก็ไม่ใช่ จะไม่มีสัญญา
๒๑)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีที่สุด จะไม่มีสัญญา
๒๒)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่ไม่มีที่สุด จะไม่มีสัญญา
๒๓)หลังจากตายแล้ว อัตตาทั้งที่มีที่สุด และไม่มีที่สุด จะไม่มีสัญญา
๒๔)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่ จะไม่มีสัญญา
เนวสัญญานาสัญญีวาทะ เห็นว่า อัตตาของชีวิตในอนาคต จะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ๘ อย่าง มีความเชื่อดังต่อไปนี้
๒๕)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีรูป จะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
๒๖) หลังจากตายแล้ว อัตตาที่ไม่มีรูป จะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
๒๗)หลังจากตายแล้ว อัตตาทั้งที่มีรูปและที่ไม่มีรูป จะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
๒๘)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีรูปก็ไม่ใช่ ไม่มีรูปก็ไม่ใช่ จะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
๒๙)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่มีที่สุด จะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
๓๐)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่ไม่มีที่สุด จะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
อุจเฉทวาทะ เห็นว่า อัตตาของชีวิตในอนาคต จะขาดสูญ ๗ อย่าง มีความเชื่อดังต่อไปนี้
๓๓)หลังจากตายแล้ว อัตตาของมนุษย์และสัตว์จะขาดสูญ
๓๔)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่เป็นทิพย์มีรูปเป็นกามาพจร บริโภคอาหาร จะขาดสูญ
๓๕)หลังจากตายแล้ว อัตตาที่เป็นทิพย์มีรูปสำเร็จทางใจ จะขาดสูญ
๓๖)หลังจากตายแล้ว อัตตาของผู้บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน จะขาดสูญ
๓๗)หลังจากตายแล้ว อัตตาของผู้บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน จะขาดสูญ
๓๘)หลังจากตายแล้ว อัตตาของผู้บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน จะขาดสูญ
๓๙)หลังจากตายแล้ว อัตตาของผู้บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตน-ฌาน จะขาดสูญ
ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ เห็นว่ามีสภาวะบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน มีความเชื่อดังต่อไปนี้
๔๐)ความเพียบพร้อมด้วยกามคุณทั้ง ๕ เป็นนิพพานในปัจจุบัน
๔๑)ความเพียบพร้อมด้วยปฐมฌาน เป็นนิพพานในปัจจุบัน
๔๒)ความเพียบพร้อมด้วยทุติยฌาน เป็นนิพพานในปัจจุบัน
๔๓)ความเพียบพร้อมด้วยตติยฌาน เป็นนิพพานในปัจจุบัน
๔๔)ความเพียบพร้อมด้วยจตุตถฌาน เป็นนิพพานในปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์ทรงรู้แจ้งมูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ และทรงทราบถึงคติ และภพหน้า ของผู้ที่ยึดถือทิฏฐิเหล่านี้ จึงไม่ทรงยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่ทรงยึดมั่นถือมั่น จึงทรงรู้แจ้งความเกิดความดับ คุณและโทษของเวทนา และอุบายสำหรับสลัดออกจากเวทนา และทรงหลุดพ้นได้ เพราะทรงรู้ธรรมอันลึกซึ้งเห็นได้ยากรู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดคะเนด้วยเหตุผลไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต เมื่อทรงรู้แล้วก็ทรงสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย มหาชนจึงสรรเสริญพระองค์ ส่วนสมณพราหมณ์เจ้าของทรรศนะเหล่านี้ไม่รู้ตามความเป็นจริง บัญญัติทิฏฐิเหล่านี้ขึ้นตามความเข้าใจของตนเอง เป็นการแส่หาดิ้นรนของคนที่มีความทะยานอยากในสิ่งอันน่าใคร่น่าปรารถนาผ่านทางอายตนะ ๖ ประการ และตัณหาของเขาจะเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ซึ่งเป็นกระบวนการแห่งการเกิดของกองทุกข์ ตามหลักแห่งปัจจยาการต่อไป ไม่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้ เหมือนปลาติดข่ายของชาวประมง ไม่อาจหลุดรอดไปได้
ในทิฏฐิ หรือทรรศนะ ๖๒ ประการในพรหมชาลสูตรนี้ มีกล่าวถึงอัตตาไว้หลายทรรศนะพึงทราบว่า เป็นความเชื่อถือในลัทธิอื่น นอกพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธความถูกต้องของทิฏฐิเหล่านี้
๓. วรรณะ ตามที่พวกพราหมณ์เชื่อถือสืบต่อกันมาเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่บันทึกไว้ในทีฆนิกาย พบได้ในอัมพัฏฐสูตรและโสณทัณฑสูตร เป็นต้น
ในอัมพัฏฐสูตร อัมพัฏฐมาณพผู้หยิ่งในความเป็นคนวรรณะ พราหมณ์ของตนได้ดูหมิ่นพระพุทธเจ้าด้วยอาการต่าง ๆ เช่น ยืนพูดบ้าง เดินพูดบ้าง กับพระพุทธเจ้า โดยอ้างความเป็นพราหมณ์ของตนว่า เกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม มีศักดิ์สูงกว่า สามารถจะสนทนาอย่างนี้กับสมณะศีรษะโล้น ซึ่งเป็นคนชั้นต่ำเกิดจากบาทของพระพรหม พระพุทธเจ้าจึงทรงไล่เลียงซักถาม จนอัมพัฏฐมาณพยอมรับว่า คนในวรรณะกษัตริย์ควรได้รับการยกย่องมากกว่าพราหมณ์ โดยทรงอ้างเอาภาษิตเก่าของสนังกุมารพรหมมารับรองว่า
ในหมู่ชนที่ถือตระกูลเป็นใหญ่
กษัตริย์จัดว่าประเสริฐที่สุด
ส่วนท่านผู้เพียบพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ
จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่เทวดาและมนุษย์
ในโสณทัณฑสูตร๒ พระพุทธเจ้าตรัสถามโสณทัณฑพราหมณ์ว่า พราหมณ์ต้องมีคุณสมบัติกี่อย่าง จึงจะเรียกได้อย่างถูกต้องว่า เป็นพราหมณ์ โสณทัณฑ-พราหมณ์ทูลตอบว่า คุณสมบัติแห่งพราหมณ์ที่สำคัญมี ๕ อย่าง คือ
๑.มีชาติตระกูลดี เกิดจากบิดามารดาเป็นพราหมณ์ติดต่อกันมาเจ็ดชั่วคน
๒.เป็นผู้คงแก่เรียน ท่องจำมันตระในพระเวทได้
๓.มีผิวพรรณดี มีรูปกายงดงาม
๔.มีศีล มั่งคงในศีล
๕.มีปัญญา
พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ถ้าจะตัดทอนคุณสมบัติของพราหมณ์เหล่านี้ออก จะตัดข้อใดได้บ้าง ครั้งแรก โสณทัณฑพราหมณ์ตัดข้อ ๓ คือ ความมีผิวพรรณดี มีรูปกายงดงามออก จากนั้นก็ทูลต่อไปว่า ถ้าจะตัดอีกก็ตัดข้อ ๒ คือ ความเป็นผู้คงแก่เรียน ท่องจำมันตระได้ออก ถ้าจะตัดต่อไปอีก โสณทัณฑพราหมณ์ก็เห็นว่ายังตัดข้อ ๑ คือความมีชาติตระกูลดีออกได้
เหลืออีก ๒ ข้อ คือ ข้อ ๔ มีศีล และข้อ ๕ มีปัญญา เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นขาดไม่ได้ เพราะศีลและปัญญาต่างชำระกันและกัน พระพุทธเจ้าทรงรับรองว่า โสณทัณฑพราหมณ์พูดถูกต้อง
ในอัคคัญญสูตร มีเรื่องเล่าถึงสามเณร ๒ รูป ชื่อวาเสฏฐะและภารัทวาชะ ซึ่งเป็นคนในวรรณะพราหมณ์กำลังอยู่ระหว่างอยู่ติตถิยปริวาส เพื่อบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ท่านทั้งสอง เกิดในตระกูลพราหมณ์ แต่มาบวชกับพระองค์เช่นนี้ ผู้นำพราหมณ์ไม่ด่าบริภาษบ้างหรือ ท่านทั้งสองกราบทูลว่า เขาด่าอย่างสุดยอดทีเดียว ตรัสถามว่า เขาด่าว่าอย่างไร ก็กราบทูลว่า เขาด่าว่า พราหมณ์ เป็นวรรณะประเสริฐ วรรณะขาว บริสุทธิ์ วรรณะอื่นต่ำทราม เป็นวรรณะดำ ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เป็นบุตรของพระพรหม เกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม เป็นพรหมทายาท ท่านทั้งสองละวรรณะอันประเสริฐ ไปเข้าพวกกับคนวรรณะต่ำ คือ พวกสมณะศีรษะโล้น เป็นพวกไพร่ พวกดำ เกิดจากบาทของพระพรหม เป็นเรื่องไม่ดี ไม่สมควรเลย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พราหมณ์พวกนั้นลืมตัว เพราะเกิดจากอวัยวะเพศของนางพราหมณีแท้ ๆ ยังกล่าวตู่ว่า ตนเกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม ซึ่งเป็นเรื่องเท็จ
จากนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องต้นกำเนิดโลก ต้นกำเนิดสัตว์โลก วิวัฒนาการทางกายภาพของสัตว์โลก พัฒนาการทางการปกครองของมนุษย์ และการแบ่งกลุ่มคนออกเป็นวรรณะ ตามหน้าที่การงานในสังคม คือ กษัตริย์ ทำหน้าที่ปกครอง พราหมณ์ ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนธรรม แพศย์ ทำหน้าที่ลดหลั่นลงไป มีการค้าขาย เป็นต้น และ ศูทร ทำงานต่ำลงไป เช่น การฆ่าสัตว์ ทำงานใช้แรงอย่างทาส กรรมกร เป็นต้น
การแบ่งคนออกเป็นวรรณะนี้ แบ่งมาจากคนพวกเดียวกันนั่นเอง ไม่ได้มีคนอื่นมาจากที่ไหน แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงเรื่องความบริสุทธิ์ ดีงาม หรือ ความเสียหาย เลวทราม ของคนในวรรณะต่าง ๆ สรุปได้ว่า ขึ้นอยู่กับกรรม คือ ความประพฤติของแต่ละคน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิด กล่าวคือ ไม่ว่ากษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือ ศูทร ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต มีความเห็นผิด ก็ตกต่ำ เสียหาย น่าตำหนิติเตียน ต้องโทษ ตายไปก็ตกอบายได้ ตามระดับทุจริตที่เขาประพฤติ ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าคนวรรณะใด ประพฤติสุจริตในไตรทวาร มีความเห็นชอบ ก็เป็นคนดี มีคุณภาพ น่าสรรเสริญ ตายแล้วก็ไปสู่สุคติได้ ตามระดับสุจริตที่เขาประพฤติ
อนึ่ง วรรณะทั้ง ๔ นี้ ถ้าสำรวมกาย วาจา ใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรม มีสติปัฏฐาน และ สัมมัปปธาน เป็นต้น ก็จะปรินิพพานในปัจจุบันได้เหมือนกัน และวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุ เป็นพระอรหันตขีณาสพ หลุดพ้นเพราะรู้ชอบ ผู้นั้นก็นับว่า เป็นยอดแห่งวรรณะเหล่านั้น โดยชอบธรรม เพราะธรรมเหล่านั้น เป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
ในที่สุด ได้ตรัสย้ำถึงภาษิตของสนังกุมารพรหม ซึ่งตรงกับของพระองค์ที่กล่าวไว้แล้วในอัมพัฏฐสูตรว่า
ในหมู่ชนที่ถือตระกูลเป็นใหญ่
กษัตริย์จัดว่าประเสริฐที่สุด
ส่วนท่านผู้เพียบพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ
จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐในหมู่เทวดา และมนุษย์
ถ้าสรุปคุณสมบัติของคนดีในอัมพัฏสูตรและอัคคัญญสูตรที่ว่า "วิชฺชาจรณ-สมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุเส" (ผู้ที่เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์) และคุณสมบัติแห่งพราหมณ์ตามทรรศนะของโสณทัณฑพราหมณ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงรับรอง ๒ ข้อสุดท้าย คือความเป็นผู้มีศีล และปัญญา แล้ว จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงยกย่องศีล และปัญญา ยิ่งกว่า ชาติตระกูล รูปสมบัติ และความรู้
๔. การบูชายัญ ยัญนั้นคือการทำพลีกรรมตามวิธีการของศาสนาพราหมณ์ เขานิยมทำกันด้วยการฆ่าสัตว์ต่าง ๆ บูชาเทพเจ้า ในกูฏทันตสูตร๑ เล่าถึงกูฏทันต-พราหมณ์กำลังเตรียมพิธีการบูชายัญโดยเอาโคตัวผู้ ๗๐๐ ตัว ลูกโคตัวผู้ ๗๐๐ ตัว ลูกโคตัวเมีย ๗๐๐ ตัว แพะ ๗๐๐ ตัว แกะ ๗๐๐ ตัว ผูกล่ามไว้กับเสาเพื่อบูชายัญ
กูฏทันตพราหมณ์ทราบข่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาและประทับอยู่ใกล้กับที่อยู่ของตน ก็พาญาติมิตรมาเฝ้า แล้วทูลถามเรื่องยัญญสัมปทา คือ ความสมบูรณ์แบบแห่งการบูชายัญ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าเรื่องพระเจ้ามหาวิชิตราชครั้งอดีตให้พราหมณ์ฟังว่า กษัตริย์พระองค์นี้ทรงรบชนะได้ครองดินแดนอันยิ่งใหญ่ไพศาล แล้วทรงปรารภจะทำพิธีบูชายัญ เพื่อประโยชน์สุขของพระองค์ จึงตรัสเรียกพราหมณ์ปุโรหิต มาเพื่อปรึกษาหาวิธีการบูชายัญที่ถูกต้องและได้ผลดี พราหมณ์ปุโรหิตผู้อนุศาสก์อรรถธรรมได้ถวายคำแนะนำให้ทรงทำตามขั้นตอน ที่สรุปกล่าวได้ดังนี้
ขั้นที่ ๑ ให้ทรงปราบโจรผู้ร้ายให้หมดเสี้ยนหนาม ไม่ใช่ด้วยวิธีการฆ่าหรือจองจำ แต่ให้ทรงปรับปรุงวิธีการปกครองราชอาณาจักรด้านเศรษฐกิจเสียใหม่ คือ
๑.พระราชทานพันธุ์พืชและอาหารแก่เกษตรกร ผู้ขยันหมั่นเพียรในการเพาะปลูก
๒.พระราชทานเงินทุนแก่ราษฎรผู้ประกอบอาชีพค้าขาย
๓.พระราชทานอาหารและค่าจ้างที่เหมาะสมแก่ข้าราชการของพระองค์
เมื่อพระเจ้ามหาวิชิตราชทรงปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ก็ปรากฏว่าได้ผลดี มีพระราชทรัพย์เพิ่มขึ้น โจรผู้ร้ายน้อยลงจนสงบราบคาบ พระราชอาณาจักรร่มเย็น อาณาประชาราษฏร์อยู่เป็นสุขกันทั่วหน้า
ขั้นที่ ๒ ให้รับสั่งขอความเห็นชอบและร่วมมือ (อนุมัติ) จากกลุ่มคนสำคัญในพระราชอาณาจักร ๔ พวก คือ (๑) พวกเจ้าประเทศราช ที่ขึ้นกับพระองค์ (๒) พวกอำมาตย์ราชบริพารผู้ใหญ่ (๓) พวกพราหมณ์มหาศาล คือ พราหมณ์ที่มีฐานะมั่งคั่ง (๔) พวกคหบดีมหาศาล คือ คหบดีผู้มีฐานะมั่งคั่ง เพื่อขอให้บุคคลเหล่านั้นรับทราบการพระราชพิธีบูชามหายัญและขอความเห็นชอบ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบ (ในพระสูตรเรียกว่า บริขาร) แห่งยัญพิธี ๔ ประการแรกในบรรดาองค์ประกอบ ๑๖ ประการ
ขั้นที่ ๓ เป็นพระคุณสมบัติของพระเจ้ามหาวิชิตราช เจ้าของยัญพิธี ๘ ประการ คือ (๑) ทรงมีพระชาติกำเนิดดี (๒) ทรงมีพระรูปโฉมงามสง่า (๓) ทรงมีพระราชทรัพย์มาก (๔) ทรงเพียบพร้อมด้วยโยธาทหาร (๕) มีพระราชศรัทธาในการบริจาคทาน (๖) ทรงเป็นผู้คงแก่เรียน (๗) ทรงทราบความหมายของภาษิตทั้งหลาย (๘) ทรงเป็นผู้มีปัญญา พระคุณสมบัติเหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบแห่งยัญอีก ๘ ประการ
พราหมณ์ปุโรหิตผู้ประกอบพิธีก็มีคุณสมบัติ ๔ ประการ คือ (๑) มีชาติกำเนิดดี (๒) ท่องจำมนตร์ได้ (๓) มีศีล (๔) มีปัญญาฉลาดในการทำพิธี
จึงรวมเป็นองค์ประกอบ ๑๖ ประการของยัญพิธี คือ อนุมัติของคนสำคัญในราชอาณาจักร ๔ จำพวก พระคุณสมบัติของพระเจ้ามหาวิชิตราช ๘ ประการ และคุณสมบัติของพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี ๔ ประการ
ขั้นที่ ๔ ให้ทรงปลงพระทัย ไม่ทรงกังวลถึงพระราชทรัพย์ที่จักสิ้นเปลือง กำลังสิ้นเปลือง หรือได้สิ้นเปลืองไปแล้ว
ขั้นที่ ๕ ให้ทรงปลงพระทัยไม่คำนึงถึงผู้ที่มารับทานซึ่งอาจมีคนทุศีลปนมาบ้าง ให้ทรงอธิษฐานจิตอุทิศแก่ผู้ที่มีกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ คือ ผู้ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดทางเพศ ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่ละโมบอยากได้ของผู้อื่น ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น เป็นผู้มีความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม
ขั้นที่ ๖ ในการทำพิธีบูชามหายัญ ครั้งนั้นไม่มีการฆ่าสัตว์ต่าง ๆ ตามที่ระบุในพระสูตร คือไม่มีการฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร ไม่มีการตัดต้นไม้มาสร้างปราสาท และโรงปะรำพิธี ไม่มีการบังคับเกณฑ์ใครมาทำงาน ให้ช่วยกันตามความพอใจเท่านั้น เพราะยัญพิธีครั้งนั้นสำเร็จด้วย เนยใส เนยข้น นมเปรี้ยว น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเท่านั้น
เมื่อพระเจ้ามหาวิชิตราช ทรงเตรียมการพิธีบูชามหายัญเสร็จแล้ว พวกคนสำคัญในพระราชอาณาจักร คือพวกเจ้าประเทศราช พวกอำมาตย์ข้าราชบริพาร พวกพราหมณ์มหาศาล และพวกคหบดีมหาศาล ได้นำทรัพย์สิ่งของมาร่วมในพิธีมหายัญเป็นอันมาก แต่พระองค์ก็ไม่ทรงรับ กลับพระราชทานทรัพย์ของพระองค์เพิ่มไปอีกด้วย บุคคลเหล่านั้นก็มิได้นำกลับไป พากันนำไปตั้งโรงทานขึ้นทั้งสี่ทิศของหลุมยัญโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระองค์ พิธีบูชายัญของพระเจ้ามหาวิชิตราช จึงประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ มีผลานิสงส์แผ่ไพศาลแก่ประชาราษฎร์ทั่วหน้า ทั้งไม่สิ้นเปลืองพระราชทรัพย์และทรัพยากรของประเทศชาติและประชาชนไปโดยไม่สมควรแก่เหตุ
ตรัสเล่าเช่นนี้แล้ว กูฏทันตพราหมณ์ทูลถามว่า ยังมียัญอย่างอื่นที่ต้องเตรียมการน้อย แต่มีผลมากกว่ามหายัญดังกล่าวหรือไม่ ตรัสตอบว่า มี คือ การถวายนิตยทานแก่ผู้มีศีล
พราหมณ์ทูลถามต่อไปเรื่อย ๆ ตามลำดับว่า ยังมียัญพิธีอื่นที่ต้องเตรียมการน้อยแต่มีผลมากว่าอีก หรือไม่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบตามลำดับ คือ
- วิหารทาน การสร้างวัดอุทิศให้เป็นของสงฆ์ มีผลมากว่านิตยทาน
- การถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ มีผลมากว่าวิหารทาน
- การสมาทานศีลห้า มีผลมากกว่าการถึงพระรัตนตรัย
- การออกบวชดำรงตนอยู่ในศีล ๓ ชั้น คือ จูฬศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล บำเพ็ญสมาธิจนได้ฌาน ๔ และเจริญภาวนาอบรมปัญญาจนได้วิชชา ๘ ประการ มีผลมากกว่า การสมาทานศีล เมื่อฟังแล้วกูฏทันตพราหมณ์มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมเทศนามาก ประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต และปล่อยสัตว์อย่างละ ๗๐๐ ตัว ที่ผูกล่ามเตรียมไว้ฆ่าบูชายัญเสียทั้งหมด เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาอนุปุพพีกถา และอริยสัจ ๔ ต่อไป ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน
เมื่อพิจารณาเนื้อความของพระสูตรนี้ จะพบว่ายัญญสัมปทา คือการทำบุญที่สมบูรณ์แบบในพระพุทธศาสนานั้น มิใช่เรื่องต้องใช้ทุนทรัพย์มากมายเสมอไป ถ้าขาดแคลนเงินทองก็อาจทำบุญได้ ด้วยการสมาทานรักษาศีล เจริญภาวนา ซึ่งไม่มีการสิ้นเปลืองเงินทองแต่อย่างใด ก็ได้บุญที่สมบูรณ์ได้
๕.ปาฏิหาริย์ คือเรื่องน่าอัศจรรย์ เกินวิสัยที่คนทั่วไปจะทำได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเกวัฏฏสูตรว่า มี ๓ อย่าง คือ
๑) อิทธิปาฏิหาริย์ คือ การแสดงฤทธิ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่นคนเดียว แสดงให้เห็นเป็นหลายคนได้ หลายคนก็แสดงให้เห็นเป็นคนเดียวได้ หายตัวได้ เป็นต้น
๒) อาเทสนาปาฏิหาริย์ คือ สามารถทายใจ ทายความคิดในใจของคนอื่นได้ อย่างน่าอัศจรรย์
๓) อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ ความสามารถในการสอนให้ประสบผลสำเร็จได้อย่างน่าอัศจรรย์ เช่นสอนว่า ให้คิดนึกตรึกตรองอย่างนี้ อย่าคิดนึกตรึกตรองอย่างนั้น ให้ใส่ใจเรื่องนี้ อย่าใส่ใจเรื่องนั้น ให้ละสิ่งนั้นทำสิ่งนี้ แล้วได้ประสบผลดีอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างน่าอัศจรรย์
เกวัฏฏะคหบดีบุตร ชาวเมืองนาลันทาได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงมอบหมายให้ภิกษุสักรูปหนึ่ง ผู้มีฤทธิ์ให้แสดงปาฏิหาริย์แก่ชาวเมืองนาลันทา เพื่อปลูกศรัทธาปสาทะในพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธโดยตรัสว่า ปาฏิหาริย์ทั้ง ๓ นั้น พระองค์ทรงทำให้แจ้ง และรู้ยิ่งด้วยพระองค์เอง แล้วทรงแสดงเหตุผลที่ทรงปฏิเสธว่าถ้าให้พระสงฆ์แสดงฤทธิ์ คนที่ไม่มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระศาสนาก็อาจกล่าวกับคนที่มีศรัทธา เลื่อมใสว่า พระรูปนั้นมีวิชามายากลที่เรียกว่าคันธารี ถ้าพระสงฆ์แสดงอาเทสนาปาฏิหาริย์โดยดักใจทายความคิดในใจของคนได้ ผู้ที่ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใสในพระศาสนาก็อาจกล่าวกับคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสว่า พระรูปนั้นมีวิชามายากลอย่างหนึ่งเรียกว่ามณิกา
สำหรับอนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สามารถนำไปสู่การตั้งมั่นอยู่ในศีลจนมีศีลสมบูรณ์ การฝึกสมาธิจนได้ฌาน ๔ การอบรมปัญญาจนบรรลุวิชชา ๘ ประการ เป็นพระอรหันต์หลุดพ้นจากกิเลสาสวะทั้งปวงได้
แสดงให้เห็นว่า การมีฤทธิ์ และทายใจคนได้ ไม่ได้ช่วยให้แก้ปัญหาได้ คำสอนและการสอนที่น่าอัศจรรย์จึงจะนำพาคนไปสู่ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ พระองค์จึงไม่ทรงสนับสนุนให้แสดงปาฏิหาริย์ ๒ อย่างแรก
๖. อปริหานิยธรรม คือ ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความเจริญอย่างเดียว ไม่นำไปสู่ความเสื่อมเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตร แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ ราชอปริหานิยธรรม หรือ วัชชีอปริหานิยธรรม ซึ่งตรัสไว้สำหรับกษัตริย์แห่งแคว้นวัชชีซึ่งปกครองกันแบบสามัคคีธรรม และภิกขุอปริหานิยธรรม ซึ่งตรัสไว้สำหรับภิกษุ
ธรรมสำคัญ ๒ หมวดนี้ ตรัสเนื่องจากทรงปรารภพระดำริของพระเจ้าอชาตศัตรู กษัตริย์ผู้ครองแคว้นมคธ จะทำสงครามกับแคว้นวัชชี ได้ทรงส่งวัสสการพราหมณ์มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ขณะประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ เพื่อขอทราบความเห็นของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการทำสงครามกับแคว้นวัชชี ขณะที่วัสสการพราหมณ์เฝ้าอยู่นั้น พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า พวกเจ้าวัชชียังปฏิบัติตามอปริหานิยธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้แก่พวกเจ้าวัชชี ที่สารันททเจดีย์ เขตกรุงเวสาลีอยู่หรือไม่ พระอานนท์กราบทูลว่า พวกเจ้าวัชชียังปฏิบัติอยู่ จึงตรัสว่า พวกเจ้าวัชชีจะมีความเจริญอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีความเสื่อมเลย ตราบเท่าที่พวกเขายังปฏิบัติตามอปริหานิยธรรม ๗ ประการนั้น
วัชชีอปริหานิยธรรม นั้น มี ๗ ประการ สรุปได้ ดังนี้
๑)ประชุมกันเป็นประจำ ประชุมกันบ่อยครั้ง
๒)พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และพร้อมเพรียงกันทำหน้าที่ของชาววัชชี
๓)ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติตามวัชชีธรรมที่วางไว้เดิม
๔)สักการะ เคารพ นับถือ บูชา เจ้าวัชชี ผู้สูงวัย และเชื่อถือถ้อยคำของท่านเหล่านั้นว่า ควรรับฟัง
๕)ไม่ข่มเหง ฉุดคร่า ขืนใจ กุลสตรี หรือ กุลกุมารี เอามาสมสู่ตามอำเภอใจ
๖)สักการะ เคารพ นับถือ บูชา เจดีย์ (คือ ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน และอนุสาวรีย์ ฯลฯ) ในแคว้นวัชชี ไม่ละเลยปล่อยให้การบูชาที่ถูกต้อง ที่เคยทำ ต่อเจดีย์เหล่านั้นเสื่อมสิ้นไป
๗)ให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน พระอรหันต์ทั้งหลาย ด้วยความมุ่งหวังให้พระอรหันต์ที่ยังไม่มา ให้มาสู่แว่นแคว้นของตน
วัสสการพราหมณ์ ได้ฟังก็เห็นว่า เป็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสและกราบทูลว่า หากพวกเจ้าวัชชีปฏิบัติตามวัชชีธรรมเหล่านี้ แม้เพียงข้อเดียว ก็ไม่จำต้องปฏิบัติครบทั้ง ๗ ข้อ ก็ไม่เสื่อม มีแต่ความเจริญถ่ายเดียวแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรู ไม่ควรทำสงครามกับแคว้นวัชชี แต่ควรทำไมตรีทางการทูต หรือทำลายความสามัคคีของพวกวัชชีเสียก่อน แล้วก็ทูลลากลับ
ส่วนภิกขุอปริหานิยธรรม มี ๖ หมวดพระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระอานนท์เรียกประชุมพระภิกษุ ที่พักอยู่ในกรุงราชคฤห์ให้มาประชุมแล้ว ตรัสตามลำดับ สรุปได้ดังต่อไปนี้
หมวดที่ ๑ มี ๗ ข้อ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุพึงหวังได้ว่าจะเจริญโดยถ่ายเดียว หาความเสื่อมมิได้ ถ้าปฏิบัติดังต่อไปนี้
๑)หมั่นประชุมกันเสมอ ๆ
๒)พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจของสงฆ์
๓)ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว
๔)สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ภิกษุผู้เป็นเถระ รัตตัญญู บวชมานาน เป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปริณายก และถือถ้อยคำของท่านเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งควรรับฟัง
๕)ไม่ตกอยู่ในอำนาจของตัณหา
๖)ยินดีในเสนาสนะป่า
๗)ตั้งสติไว้ในใจว่า เพื่อนพรหมจารีผู้มีศีลงามซึ่งยังไม่มาขอให้มา ที่มาแล้วขอให้อยู่ผาสุก
หมวดที่ ๒ มี ๗ ข้อ สรุปได้ดังนี้
๑)ไม่มัวหมกมุ่น ยินดี ขวนขวายอยู่แต่กับงาน (จนลืมสมณธรรม)
๒)ไม่มัวหมกมุ่น ยินดี ขวนขวายอยู่แต่กับการพูดคุย
๓)ไม่มัวเพลิดเพลิน ยินดี ขวนขวายอยูแต่เรื่องการนอนหลับ
๔)ไม่มัวหมกมุ่น ยินดี ขวนขวายอยู่แต่กับเรื่องความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
๕)ไม่เป็นผู้ปรารถนาเลวทราม ไม่ตกอยู่ในอำนาจความใฝ่ต่ำ
๖)ไม่คบหามิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว
๗)ไม่หยุดพากเพียรเสีย เพียงเพราะบรรลุคุณวิเศษเบื้องต้น
หมวดที่ ๓ มี ๗ ข้อ สรุปได้ดังต่อไปนี้
๑)มีศรัทธา
๒)มีหิริ
๓)มีโอตตัปปะ
๔)เป็นพหูสูต
๕)ปรารภความเพียร
๖)มีสติตั้งมั่น
๗)มีปัญญา
หมวดที่ ๔ มี ๗ ข้อ ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ ประการ คือ
๑)สติสัมโพชฌงค์
๒)ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
๓)วิริยสัมโพชฌงค์
๔)ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
๖)สมาธิสัมโพชฌงค์
๗)อุเบกขาสัมโพชฌงค์
หมวดที่ ๕ มี ๗ ข้อ คือ
๑)อนิจจสัญญา (กำหนดหมายความไม่เที่ยงแห่งสังขาร)
๒)อนัตตสัญญา (กำหนดหมายความเป็นอนัตตาแห่งธรรมทั้งปวง)
๓)อสุภสัญญา (กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย)
๔)อาทีนวสัญญา (กำหนดหมายทุกข์โทษของร่างกายที่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย)
๕)ปหานสัญญา (กำหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตกและปาปธรรมทั้งหลาย)
๖)วิราคสัญญา (กำหนดหมายวิราคะว่าเป็นธรรมละเอียดประณีต)
๗)นิโรธสัญญา (กำหนดหมายนิโรธว่าเป็นธรรมละเอียดประณีต)
หมวดที่ ๖ คือ สาราณิยธรรม ๖ ได้แก่
๑)ตั้งเมตตากายกรรม ในเพื่อนพรหมจารีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๒)ตั้งเมตตาวจีกรรมในเพื่อนพรหมจารีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๓)ตั้งเมตตามโนกรรมในเพื่อนพรหมจารีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๔)แบ่งปันลาภที่ได้มาโดยถูกต้อง โดยที่สุดแม้อาหารบิณฑบาตแก่เพื่อนพรหมจารีผู้มีศีลทั้งหลาย
๕)มีศีลสมบูรณ์ ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิครอบงำ เป็นไปเพื่อสมาธิเสมอกันกับเพื่อนพรหมจารีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๖)มีอริยทิฏฐิเสมอกันกับเพื่อนพรหมจารี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๗. ปฏิจจสมุปบาท กระบวนการแห่งการเกิดและความดับของทุกข์ เป็นธรรมที่สำคัญและเป็นแกนกลางแห่งหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าทรงประกาศว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คำว่า "ธรรม" ในพระพุทธพจน์ นี้หมายถึงสังขตธรรม สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งคือสังขารทุกชนิด และ อสังขตธรรม สิ่งที่ปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง คือ พระนิพพานด้วย เป็นการปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่าไม่มีอะไรจะเรียกว่า "อัตตา" ในความหมายที่ว่าเป็นอิสระสูงสุด หรือเป็น "ปฐมการณ์" [First Cause] ตามหลักคำสอนของศาสนาเทวนิยมทั้งหลาย
ปฏิจจสมุปบาท ปรากฏในพระไตรปิฎกมากแห่ง โดยทั่วไปทรงแสดง ๑๒ หัวข้อ ในรูปวงเวียน (วัฏฏะ) ดังนี้

๑)เพราะอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นปัจจัย สังขาร(การปรุงแต่งโดยมีเจตนาเป็นตัวนำ ทำให้เกิดกรรม) จึงมี
๒)เพราะสังขาร เป็นปัจจัย วิญญาณ(ปฏิสนธิวิญญาณ) จึงมี
๓)เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย นามรูป(ขันธ์ ๕) จึงมี
๔)เพราะนามรูป เป็นปัจจัย สฬายตนะ(อายตนะ ๖) จึงมี
๕)เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะ(การสัมผัสแห่งอายตนะ ๖ และอารมณ์ที่ตรงกัน) จึงมี
๖)เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย เวทนา(ความรู้สึก สุข ทุกข์ อุเบกขา) จึงมี
๗)เพราะเวทนา เป็นปัจจัย ตัณหา(ความอยากได้ อยากเป็นอยากพ้นจากภาวะที่ตนเป็น) จึงมี
๘)เพราะตัณหา เป็นปัจจัย อุปาทาน (ความยึดมั่น ถือมั่น ) จึงมี
๙)เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ(ความมีความเป็น) จึงมี
๑๐)เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ(การเกิด) จึงมี
๑๑)เพราะชาติเป็นปัจจัย  
๑๒)ชรา (ความแก่) มรณะ (ความตาย)โสกะ (ความโศก) ปริเทวะ (การร้องไห้คร่ำครวญ) ทุกข์ (ความไม่สบายกาย)โทมนัส (ความไม่สบายใจ) อุปายาส (ความคับแค้นใจ) จึงมี  
ในตอนท้าย จะตรัสสรุปว่า กระบวนการแห่งการเกิดของกองทุกข์ทั้งมวล เป็นอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท หรือ สมุทยวาร
กระบวนการแห่งความดับทุกข์ก็ดำเนินไปในทางกลับกัน คือ
๑)เพราะอวิชชาดับไปโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ ฯลฯ
๒)เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส จึงดับไป
ในตอนท้ายจะตรัสสรุปว่า กระบวนการแห่งความดับของกองทุกข์ทั้งมวลเป็นอย่างนี้ เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท หรือ นิโรธวาร
ในมหานิทานสูตร ธรรมบรรยายเรื่องปฏิจจสมุปบาทมิได้เริ่มต้นที่อวิชชา แต่ได้ทรงเริ่มจากชรามรณะ (ความแก่ความตาย) ว่า มีชาติ ความเกิดเป็นปัจจัย แล้วตรัสสืบต่อไปจนถึงวิญญาณ และนามรูป เป็นปัจจัยของกันและกัน คือ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี มี ๑๗ ลำดับ
๑)เพราะชาติ (ความเกิด) เป็นปัจจัย ชรามรณะ (ความแก่ความตาย) จึงมี
๒)เพราะภพ (ความมีความเป็นเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
๓)เพราะอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) เป็นปัจจัย ภพ จึงมี
๔)เพราะตัณหา (ความทะยานอยาก) เป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
๕)เพราะเวทนา (ความรู้สึก) เป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
๖)เพราะผัสสะ (ความถูต้อง สัมผัส) เป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
๗)เพราะนามรูป (นามธรรมและรูปธรรม) เป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
๘)เพราะวิญญาณ (ปฏิสนธิวิญญาณ) เป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
๙)เพราะนามรูป เป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี
๑๐)เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
๑๑)เพราะนามรูป เป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
๑๒)เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
๑๓)เพราะเวทนา เป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
๑๔)เพราะตัณหา เป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
๑๕)เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย ภพ จึงมี
๑๖)เพราะภพ เป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
๑๗)เพราะชาติ เป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี
เป็นที่น่าสังเกตว่า ปฏิจจสมุปบาทที่ทรงแสดงไว้ในมหานิทานสูตรนี้ วนไปไม่ถึงอวิชชา และสังขาร เพราะวนไปถึงวิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป (ข้อ ๙) นามรูปก็กลับมาเป็นปัจจัยของวิญญาณ (ข้อ ๑๐) อีกครั้งหนึ่ง แล้วเวียนต่อไปถึงชรามรณะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า วงเวียนแห่งปฏิจจสมุปบาทไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นที่อวิชชา เสมอไป อาจตั้งต้นที่ข้อใด ข้อหนึ่งก็ได้
๘.สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดที่พิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ เป็นธรรมสำคัญที่นำไปสู่การบรรลุธรรมที่นำไปสู่ความเป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอุทเทสของมหาสติปัฏฐานสูตร๑ ว่าสติปัฏฐานเป็นทางเดียวเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงโสกะ(ความโศก) ปริเทวะ(ความร่ำไห้คร่ำครวญ) เพื่อดับความทุกข์กายทุกข์ใจ เพื่อบรรลุญายธรรมคืออริยมรรค เพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน
สติปัฏฐาน มีหัวข้อใหญ่ ๔ หัวข้อ คือ
๑)กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาให้เห็นกายในกาย
๒)เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาให้เห็นเวทนาในเวทนา
๓)จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาให้เห็นจิตในจิต
๔)ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาให้เห็นธรรมในธรรม
๑)กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาให้เห็นกายในกาย แบ่งออกเป็น ๖ หมวด เรียกว่า "บรรพ" คือ
๑.๑ตั้งสติกำหนดพิจารณาลมหายใจเข้าและหายใจออก ให้เห็นเป็นลำสั้น - ยาว สลับกันไป เรียกว่า "อานาปานบรรพ" หมวดว่าด้วยลมหายใจเข้า - ออก
๑.๒ตั้งสติกำหนดพิจารณาอิริยาบถของร่างกาย คือ การยืน เดิน นั่ง นอน ให้รู้ทันความเป็นไปของอิริยาบถนั้น ๆ เรียกว่า "อิริยาปถบรรพ" หมวดว่าด้วยอิริยาบถ
๑.๓ตั้งสติกำหนดพิจารณาการเคลื่อนไหวทางกาย เช่น การก้าวไป ถอยกลับ คู้แขน เหยียดแขน กิน ดื่ม โดยกำหนดให้รู้ทันทุกอากัปกิริยานั้น ๆ เรียกว่า "สัมปชัญญบรรพ" หมวดว่าด้วยสัมปชัญญะ
๑.๔ตั้งสติกำหนดพิจารณาอาการ ๓๒ คือส่วนย่อยต่าง ๆ ของร่างกายของตน มีผม ขน เล็บ ฟัน เป็นต้น ให้เห็นชัดว่าเป็นของน่าเกลียด โสโครก ต้องการชำระล้างทำความสะอาด เรียกว่า "ปฎิกูลมนสิการบรรพ" หมวดว่าด้วยมนสิการสิ่งปฏิกูล
๑.๕ตั้งสติกำหนดพิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นธาตุคือองค์ประกอบที่มีคุณสมบัติต่างกันออกไปแต่ละธาตุ ให้ปรากฏชัดว่าส่วนที่แข็งจัดเป็นปฐวีธาตุ คือ ธาตุดิน ส่วนที่เป็นของเหลวจัดเป็น อาโป คือ ธาตุน้ำ ส่วนที่มีความอบอุ่น จัดเป็นเตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ ส่วนที่เป็นตัวการให้เคลื่อนไหวได้จัดเป็น วาโยธาตุ คือ ธาตุลม ประกอบ กันขึ้นมาเป็นนามรูป ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของเราหรือของเขา เรียกว่า "ธาตุมนสิการบรรพ" หมวดว่าด้วยมนสิการธาตุ
๑.๖ตั้งสติพิจารณาซากศพ มีลักษณะต่าง ๆ ๙ ลักษณะ เช่น ซากศพที่ตายแล้ว ๑ วัน ถึงตายแล้ว ๓ วัน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับร่างกายของตนว่า มีลักษณะที่จะต้องเป็นไปอย่างเดียวกัน เรียกว่า "นวสีวถิกาบรรพ" หมวดว่าด้วยป่าช้า ๙ หมวด
๒)เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติพิจารณาให้เห็นเวทนาในเวทนา คือ การพิจารณาความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์(อุเบกขา) ตามลักษณะ ๙ ประการ คือ
๒.๑เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็ให้รู้ชัดว่าเป็นสุขเวทนา
๒.๒เมื่อเสวยทุกขเวทนา ก็ให้รู้ชัดว่าเป็นทุกขเวทนา
๒.๓เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ให้รู้ชัดว่าเป็นอทุกขมสุขเวทนา
๒.๔เมื่อเสวยสุขเวทนามีอามิส ก็ให้รู้ชัดว่าเป็นสุขเวทนามีอามิส
๒.๕เมื่อเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็ให้รู้ชัดว่าเป็นสุขเวทนาไม่มีอามิส
๒.๖เมื่อเสวยทุกขเวทนามีอามิส ก็ให้รู้ชัดว่าเป็นทุกขเวทนามีอามิส
๒.๗เมื่อเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็ให้รู้ชัดว่าเป็นทุกขเวทนาไม่มีอามิส
๒.๘เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส ก็ให้รู้ชัดว่าเป็นอทุกขมสุข-เวทนามีอามิส
๒.๙ เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็ให้รู้ชัดว่าเป็นอทุกขมสุข-เวทนาไม่มีอามิส
๓)จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดให้เห็นจิตในจิต คือพิจารณา จิตของตนให้เห็นสภาวะตามที่ปรากฏในขณะนั้น ๆ ให้รู้ชัดตามความเป็นจริงตามสภาวะ ๑๖ ประการ คือ
๓.๑จิตมีราคะ ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตมีราคะ
๓.๒จิตปราศจากราคะ ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตปราศจากราคะ
๓.๓จิตมีโทสะ ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตมีโทสะ
๓.๔จิตปราศจากโทสะ ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตปราศจากโทสะ
๓.๕จิตมีโมหะ ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตมีโมหะ
๓.๖จิตปราศจากโมหะ ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตปราศจากโมหะ
๓.๗จิตหดหู่ ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตหดหู่
๓.๘จิตฟุ้งซ่าน ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตฟุ้งซ่าน
๓.๙จิตใหญ่เป็นไปในฌาน ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตใหญ่เป็นไปในฌาน
๓.๑๐จิตไม่ใหญ่ไม่ถึงฌาน ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตไม่ใหญ่ไม่ถึงฌาน
๓.๑๑จิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่า
๓.๑๒จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
๓.๑๓จิตตั้งมั่นก็ให้รู้ว่าเป็นจิตตั้งมั่น
๓.๑๔จิตไม่ตั้งมั่น ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตไม่ตั้งมั่น
๓.๑๕จิตหลุดพ้น ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตหลุดพ้น
๓.๑๖จิตไม่หลุดพ้น ก็ให้รู้ว่าเป็นจิตไม่หลุดพ้น
๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติพิจารณาให้เห็นธรรมในธรรม คือให้พิจารณาเห็นชัดตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นกำลังมีธรรมอะไรเกิดอยู่ในจิตของตน แบ่งออกเป็น ๕ หมวดธรรม คือ
๔.๑หมวดนิวรณ์ ๕ เรียกว่า (นีวรณบรรพ)
๔.๒หมวดขันธ์ ๕ เรียกว่า (ขันธบรรพ)
๔.๓หมวดอายตนะ ๑๒ เรียกว่า (อายตนบรรพ)
๔.๔หมวดโพชฌงค์ ๗ เรียกว่า (โพชฌงคบรรพ)
๔.๕หมวดอริยสัจจ์ ๔ เรียกว่า (สัจจบรรพ)
โดยให้พิจารณาให้เห็นว่าในขณะนั้นมีธรรมอะไรกำลังเกิดอยู่ในจิตของตน ไล่ตามหัวข้อย่อยของหมวดธรรมนั้น ๆ เช่น
- เมื่อมีกามฉันทะอยู่ในจิต ก็ให้รู้ชัดว่าเรายังมีกามฉันทะอยู่ในจิต
- เมื่อไม่มีกามฉันทะอยู่ในจิต ก็ให้รู้ชัดว่าเราไม่มีกามฉันทะอยู่ในจิต
ฯลฯ
ในตอนสุดท้ายแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงอานิสงส์แห่งการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ประการไว้พอสรุปเอาใจความได้ว่า ผู้เจริญสติปัฏฐาน เป็นระยะเวลาหนึ่ง ตั้งแต่ ๗ ปี ถึง ๗ วัน จะได้บรรลุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง คือได้เป็นพระอรหันต์ในปัจจุบัน ถ้ายังมีอุปาทานเหลืออยู่ ก็จะได้เป็นพระอนาคามี จึงอาจสรุปกล่าวได้ เป็นพระอรหันต์ตามพระพุทธพจน์นี้ สติปัฏฐาน ๔ เป็นแก่นธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เพราะเป็นธรรมที่สามารถนำสัตว์ให้บรรลุมรรค ผล นิพพาน อันเป็นเป้าหมายแห่งการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา
นอกจากธรรมที่กล่าวแล้วเหล่านี้ ในทีฆนิกายยังมีหลักธรรมที่สำคัญอื่น ๆ อีก เช่น เรื่อง วิชชา ๓ ประการ และวิชชา ๘ ประการ อัพยากตปัญหา เรื่องที่ไม่ทรงตอบ ไตรเพท การพึ่งตนพึ่งธรรม และคิหิปฏิบัติ เป็นต้น มีบันทึกอยู่ในทีฆนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙, ๑๐ และ ๑๑ ซึ่งไม่สามารถนำมาแสดงได้ทั้งหมดในบทความนี้

top