ความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎก l ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระไตรปิฎก l พระไตรปิฎกวิจารณ์ l บทความพระไตรปิฎก  

ดูบทความอื่นๆ หน้าหลัก

เปิดห้องพระสูตร


พระสุธีวราภรณ์ เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542 หน้า 85 - 100

พระสูตร หรือที่เรียกในทางวิชาการว่า พระสุตตันตปิฎก เป็น ๑ ใน ๓ ปิฎก มีลักษณะที่แตกต่างออกไปจากพระวินัยปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก คือ เป็นการแสดงพระธรรมเทศนาที่มี บุคคล เหตุการณ์และสถานที่เข้ามาประกอบที่เรียกว่า บุคลาธิษฐาน โดยที่พระองค์ทรงปรารภบุคคลเป็นต้น แล้วทรงถือโอกาสแสดงธรรมเทศนา ที่มีลักษณะเป็น ธรรมาธิษฐานบ้าง แต่ก็มีเป็นส่วนน้อยพระธรรมเทศนาในพระสูตร มีเป็นจำนวนมาก หลายหมวดหลายประเภท ผู้ใคร่ธรรม สามารถน้อมนำไปปฏิบัติได้ตามสมควรแก่ฐานะของตน
อนึ่ง ในพระสูตรนี้ มิใช่ว่าจะมีแต่พระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์เท่านั้น ยังมีธรรมภาษิตของเทวดาผู้มาเฝ้าและสนทนาธรรมกับพระพุทธองค์ มีธรรมภาษิตของพระอรหันตสาวกและของอรหันตสาวิกา รวมอยู่ด้วย ฉะนั้น พระสูตรจึงประกอบด้วยอรรถรสและธรรมรสหลากหลาย ซึ่งเป็นมรดกทางปัญญา ตกทอดแต่ครั้ง ปู่ย่า ตายาย ผู้ซึ่งได้ศึกษาค้นคว้าและยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการดำรงชีวิต อันก่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่ตนและแก่สังคมมาช้านาน
ก่อนอื่นควรรู้จักพระไตรปิฎก ก่อนจะเปิดห้องพระสูตร ปัจจุบันนี้ ได้มีการจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ในพากย์ภาษาบาลีมี ๔๕ เล่ม ในพากย์ภาษาไทยก็มี ๔๕ เล่ม เท่ากัน เป็นการแปลเล่มต่อเล่ม ซึ่งก็เป็นการง่ายในการค้นคว้าของผู้หวังความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ แห่งสติปัญญา
พระไตรปิฎกมีการจัดแบ่ง ดังนี้
โกศล โกสโล ป.ธ. ๙, M.A. กรรมการตรวจสำนวนการแปล บรรณกรพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย บรรณาธิการการแปลและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๑.พระวินัยปิฎกมี ๘เล่ม (ลำดับ ๑-๘)
๒.พระสุตตันตปิฎกมี๒๕เล่ม (ลำดับ ๙-๓๓)
๓.พระอภิธรรมปิฎกมี๑๒เล่ม (ลำดับ ๓๔-๔๕)
ผู้อ่านจะเห็นได้ว่า พระสุตตันตปิฎก มีมากกว่าปิฎกอื่น ๆ คือ มีจำนวนถึง ๒๕ เล่ม เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องมีข้อธรรมและเรื่องราวที่ควรแก่การศึกษาและค้นคว้าเป็นจำนวนมากแน่นอน
เบื้องต้น ขอนำหัวใจพระสูตรที่โบราณจารย์ย่อไว้เพื่อจดจำได้ง่าย คือ ที มะ สัง อัง ขุ ซึ่งก็ได้แก่ นิกาย (หมวด หมู่ ประชุม) ทั้ง ๕ นั่นเอง คือ
๑.ทีฆนิกาย ว่าด้วยสูตรหรือพระธรรมเทศนาขนาดยาว จำนวน ๓๔ สูตร แบ่งเป็น ๓ เล่ม (พระไตรปิฎก ๙-๑๑)
๒.มัชฌิมนิกาย ว่าด้วยสูตรหรือพระธรรมเทศนาขนาดปานกลาง จำนวน ๑๕๒ สูตร แบ่งเป็น ๓ เล่ม (พระไตรปิฎก ๑๒-๑๔)
๓.สังยุตตนิกาย ว่าด้วยสูตรหรือพระธรรมเทศนา ที่ประมวลข้อธรรมหรือเรื่องราวไว้เป็นพวก ๆ เช่น เทวตาสังยุต ก็จัดไว้พวกหนึ่ง เทวปุตตสังยุต ก็จัดไว้พวกหนึ่ง เป็นต้น จำนวน ๒,๗๕๒ สูตร แบ่งเป็น ๕ เล่ม (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕-๑๙)
๔.อังคุตตรนิกาย ว่าด้วยสูตรหรือพระธรรมเทศนาที่จัดเป็นข้อ ๆ และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ ๑ ข้อ ๒ ข้อ เป็นต้น จำนวน ๗,๙๐๒ สูตร แบ่งเป็น ๕ เล่ม (พระไตรปิฎก ๒๐-๒๔)
๕.ขุททกนิกาย ว่าด้วยสูตรหรือพระธรรมเทศนาเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ มี ๑๕ เรื่อง หรือ ๑๕ หัวข้อใหญ่ บางข้อก็จัดเป็นสูตร บางข้อก็มิได้จัดเป็นสูตร จึงแบ่งเป็น ๙ เล่ม (พระไตรปิฎก ๒๕-๓๓) คือ
๑.ขุททกปาฐะ ว่าด้วยบทสวดสั้น ๆ มี บทสรณคมน์ ทสสิกขาบท เป็นต้น
๒.ธรรมบท ว่าด้วยบทแห่งธรรม ข้อนี้ในพระบาลี เป็นคาถาสั้น ๆ เป็นคำฉันท์ มีรายละเอียดอยู่ในหนังสือชั้น อรรถกถา เรียกว่า ธัมมปทัฏฐกถา มีแปลเป็นภาษาไทยแล้ว
๓. อุทาน ว่าด้วยสูตรหรือพระธรรมเทศนาที่ทรงปรารภเหตุหรือบุคคลแล้วทรงอุทานเป็นพระธรรมเทศนา ส่วนมากเป็นคาถาสั้น ๆ
๔.อิติวุตตกะ ว่าด้วยสูตรหรือพระธรรมเทศนาที่กล่าวอ้างอิงได้ว่า พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมไว้แล้ว เพราะเหตุดังนี้ ๆ
๕. สุตตนิบาต ว่าด้วยสูตรหรือพระธรรมเทศนาที่รวมสูตรเบ็ดเตล็ดไว้ด้วยกัน (ข้อ ๑-๕ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕)
๖.วิมานวัตถุ ว่าด้วยเรื่องของบุคคลผู้ทำบุญไว้ได้อยู่ในวิมาน
๗.เปตวัตถุ ว่าด้วยเรื่องของบุคคลผู้ทำบาปไว้ไปอยู่ในเปตวิสัย
สทั้งหมด เที่ยวไปในโลกอย่างไม่มีอาสวะเถิด
ธรมภาษิตของพระเถระและพระเถรีเหล่านี้ ดังที่ได้ยกมากล่าวเพียงเล็กน้อยนี้ ล้วนเป็นธรรมะสอนใจอย่างประเสริฐ เป็นลีลาวาทะ ของท่านผู้สำเร็จธรรมชั้นสูงทั้งนั้น ไม่เป็นโทษแก่ใคร ๆ แม้น้อยนิด ไม่เป็นพิษแก่ผู้ฟังเลย เป็นถ้อยคำที่เป็นหลักฐาน เป็นอรรถเป็นธรรม ส่วนที่เหลือมีจำนวนอีกเป็นหลายร้อยรูป โปรดศึกษาดูเถิด รับรองว่า ท่านจะปิดประตูอบายได้แน่นอน เพราะคำสอนที่เป็นธรรมภาษิต ที่ปรากฏในเถรคาถาและในเถรีคาถานั้น ล้วนเป็นถ้อยคำของท่านผู้ปิดอบายได้แล้วทั้งนั้น
ขอเสนอพระสูตรอีก ๒ เล่ม คือ เล่มที่ ๑๙ และเล่มที่ ๒๐ (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗-๒๘) ในนิกายที่ ๕ หัวข้อ ของขุททกนิกายดังกล่าวแล้วข้างต้น ในข้อว่า ชาดก เรื่องนี้มี ๒ ภาค เป็นเรื่องใหญ่มาก มีจำนวนถึง ๕๕๐ เรื่อง เป็นเรื่องราวในอดีตของพระพุทธองค์ เฉพาะในพระบาลีเล่มที่ ๑๙ นั้น เป็นคาถาสั้น ๆ เรื่องต้น ๆ มีเฉพาะคาถาไม่ยาวนัก ส่วนรายละเอียดมีอยู่ในหนังสือชั้นอรรถกถามีการนำบุคคลเข้ามาประกอบการแสดงธรรม ตามหลักของการแสดงอย่างบุคลาธิษฐานตอนจบก็จบลงด้วยการแสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ซึ่งมีเนื้อหาสารธรรมทั้งนั้น ดังเรื่อง วัณณุปถชาดก ซึ่งถอดความได้ว่า
ในอดีต เมื่อพระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน เดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง ต้องเดินทางผ่านทะเลทรายอันร้อนจัด เดินทางได้เฉพาะตอนกลางคืน กลางวันพักผ่อน ครั้นเดินทางไปใกล้จะถึงจุดหมายปลายทาง เหลือระยะทางไม่ไกลนัก ประมาณอีกคืนเดียวก็จะถึง หัวหน้าพ่อค้า จึงให้บริวารเทน้ำทิ้งพร้อมทั้งฟืนด้วย เพื่อให้เกวียนเบา การเดินทางจะได้เร็วขึ้น พอตกกลางคืนก็ออกเดินทาง ขณะเดินทางนั้น ด้วยความอ่อนเพลีย ผู้นำทางจึงเผลอหลับไป กองเกวียนจึงเดินวกวนกลับมายังที่เดิม เวลาก็ใกล้สว่างพอดี กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว น้ำก็หมด ฟืนก็ไม่มี พวกบริวารก็พากันทอดอาลัยในชีวิต หัวหน้ากองเกวียนจึงได้เดินสำรวจดูตามบริเวณนั้น ก็ได้พบกอหญ้าขึ้นเขียว ๆ อยู่แห่งหนึ่ง ก็รู้ได้ว่า ภายใต้พื้นทรายต้องมีน้ำแน่ จึงให้บริวารขุดลงไป แต่ก็ไม่ได้พบน้ำ พบแต่แผ่นหินขวางอยู่ ก็พากันท้อใจ แต่หัวหน้ากองเกวียนมิได้เป็นเช่นนั้น โดดลงไปในหลุมนั้นแล้วใช้หูแนบกับแผ่นหิน ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ข้างใต้ ก็รู้ได้ว่า มีน้ำอยู่ข้างใต้ จึงให้บริวารขุดเจาะแผ่นหินนั้น น้ำก็พุ่งขึ้นมาสูงขนาดชั่วลำตาลทีเดียว ทั้งหมดก็พากันดื่มและอาบ รอดตาย เดินทางไปค้าขาย ได้ทรัพย์เป็นอันมาก สมประสงค์ ทั้งที่ในตอนแรก พากันถ้อถอยเมื่อไม่พบน้ำ อาศัยเหตุนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาว่า
พ่อค้าเกวียน ไม่เกียจคร้าน (หาน้ำ) ในทางทราย (ม่ท้อถอย) จึงได้ขุดน้ำในเนินทราย (ทะเลทราย)ผู้เป็นมุนี (ผู้ประพฤติธรรม) ก็เช่นกัน ประกอบกำลังคือความเพียร ไม่เกียรจคร้าน ก็พึงประสบความสงบแห่งหทัยได้(บรรลุธรรม)
เรื่องชาดก (ภาค ๒) ในพระสูตรเล่มที่ ๒๐ (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘) ในพากษ์ภาษาบาลี เป็นคาถาที่เป็นคำฉันท์ค่อนข้างยาว เมื่อแปลแล้วก็ได้ใจความที่สมบูรณ์ทีเดียว ที่สำคัญนั้น คือ มีเรื่องพระเจ้าสิบชาติ รวมอยู่ในเล่มนี้ด้วย โดยเฉพาะมี เรื่อง มหาชนกชาดก ซึ่งเป็นชาดกที่มีชื่อเสียง ลือกระฉ่อนไปทั้งในประเทศและนอประเทศ เพราะเหตุที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เป็น หัวข้อพระราชนิพนธ์ เชิงเป็นเทศนาสั่งสอนประชาชน จัดว่า เป็นชาดกที่โด่งดังที่สุดในยุคโลกาภิวัตน์นี้
การศึกษาเรื่องชาดก ผู้ศึกษาจะได้ความฉลาดทั้งในศีลธรรมและคุณธรรมที่แฝงอยู่ในเรื่องชาดก แต่ไม่ใช่ฉลาดแกมโกง อย่างคนที่มีปริญญาทางโลกอย่างเดียว เพราะชาดก คือ เรื่องราวความเป็นมาของพระพุทธองค์ในอดีตชาติ เป็นการสอนธรรมะให้เป็นรูปธรรม จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจท่าน แต่ให้ข้อสังเกตไว้ว่า บรรพบุรุษของเราทั้งหลายยึดมั่นพระพุทธศาสนา ใช้คุณธรรมนำชีวิต บรรพบุรุษของเราในอดีตก็มีความสุขเกษม ไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีการล้างผลาญกันมากเยี่ยงในปัจจุบันนี้
พระสูตรเล่มที่ ๒๔ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒) ข้อว่า อุปทาน ผู้อ่านจะได้ทราบประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้า ของพระปัจเจกพุทธเจ้า โดยเฉพาะของพระอรหันตสาวก จำนวน ๔๑๐ รูป ในพระสูตรเล่มที่ ๒๕ อีก ๑๕๑ รูป ทั้งยังมีอปทานของพระอรหันตสาวิกาอีก ๔๐ รูป (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓)
อปทาน คือ การเล่าประวัติความเป็นมาของตนเอง อาจเรียกได้ว่า อัตชีว-ประวัตินั่นเอง ว่าเป็นใครมาจากไหน ได้ปฏิบัติธรรมมาอย่างไรในอดีต เป็นเรื่องยาวมาก ในพระบาลี เป็นคาถาทั้งหมดมีลักษณะเป็นคำฉันท์ มีลีลาในการใช้ภาษา ในเชิงวรรณคดี ถ้อยคำก็ไพเราะมากๆ มีอยู่ในพวกเรา (นี่คือหลักการชี้แจงข้อเท็จจริง)
พระพุทธองค์ ได้ตรัสต่อไปอีกว่า มีบางคนกล่าวชมตถาคตเกี่ยวกับศีลก็มี แม้อย่างนี้ ก็เป็นส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ข้อที่สำคัญกว่ายังมีอีก ต่อจากนั้นพระองค์ได้ทรงนำ ทิฏฐิ ๖๒ ประการ มาแสดง ซึ่งมีใจความว่า สมณะหรือพราหมณ์ในครั้งนั้น มีทิฏฐิแตกต่างกันออกไปถึง ๖๒ ประการ ถ้าท่านผู้อ่านได้เปิดพรหมชาลสูตรดู จะทราบว่า ผู้ใดมีทิฏฐิอย่างไร และพระพุทธองค์ตรัสแก้ไว้อย่างไรบ้าง
ในที่นี้ ขอนำ ทิฏฐิ ที่เกี่ยวกับ นิพพาน ซึ่งเป็นความเห็นอย่างหนึ่งในสูตรนี้ คือ ทิฏฐธรรมนิพพาน (นิพพานในปัจจุบันชาตินี้) มี ๕ ประการ คือ
๑.อัตตา (ตน) ที่เพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ (เสพสุขอยู่กับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ให้เต็มที่) เป็นนิพพานในปัจจุบัน
๒.สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง บรรลุ ปฐมฌาน
๓.อีกพวกหนึ่ง บรรลุ ทุติยฌาน
๔.อีกพวกหนึ่ง บรรลุ ตติยฌาน
๕.อีกพวกหนึ่ง บรรลุ จตุตถฌาน
ทั้ง ๔ จำพวกหลังนี้ เข้าใจว่าตนได้บรรลุนิพพานในปัจจุบันชาตินี้เหมือนกัน (ด้วยอำนาจฌาน) แต่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในสูตรนี้ว่า ไม่ใช่นิพพานเพราะยังไม่พ้นทุกข์ โดยเฉพาะ ในข้อที่ ๑ พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่าในสมัยพุทธกาล ก็มีผู้เห็นเช่นนั้น แต่ในสมัยนี้ จะมีหรือไม่ ขอฝากให้แก่ท่านผู้มีวิจารณญาณทั้งหลายด้วย
ขอนำพระสูตรเล่มที่ ๒ (พระไตรปิฎก ๑๐) ชื่อ ทีฆนิกาย มหาวรรค มาเฉพาะสูตร ชื่อว่า มหาปรินิพพานสูตร ตอนที่ว่าด้วย อปริหานิยธรรม คือ ธรรมที่ไม่เป็นไปเพื่อความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญโดยส่วนเดียวของภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักธรรมข้อนี้ไว้สำหรับเป็นหลักปกครองหมู่คณะโดยตรง มี ๗ ข้อ คือ
๑.หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
๒.พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่สงฆ์ควรทำ
๓.ไม่บัญญัติข้อที่ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างข้อที่พระองค์บัญญัติไว้แล้ว
๔.สักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุผู้เป็นเถระ เป็นรัตตัญญู บวชมานาน เป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปริณายก และสำคัญถ้อยคำของท่านเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งควรรับฟัง
๕.ไม่ตกอยู่ในอำนาจของตัณหาความอยากที่เกิดขึ้น
๖.ยินดีในเสนาสนะป่า
๗.ตั้งใจอยู่ว่า เพื่อนภิกษุสามเณรผู้มีศีล ผู้ยังไม่มาสู่อาวาส ขอให้มา ผู้มาแล้ว ขอให้อยู่เป็นสุขเถิด
พระองค์ได้ตรัสสรุปไว้ในตอนท้ายว่า
ธรรมทั้ง ๗ ประการนี้ ยังตั้งอยู่ในผู้ใด (นำไปปฏิบัติ) ผู้นั้นย่อมมีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อมเลย
ดังนั้น ถ้าเราท่านทั้งหลายน้อมนำไปปฏิบัติ โดยใช้เป็นหลักปกครองหมู่คณะ รับรองว่า ความวิบัติ ความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะในข้อนี้ พระพุทธองค์ตรัสย้ำถึงความสามัคคีเป็นหลักสำคัญ
อนึ่ง ในพระสูตรเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับมหาสติปัฏฐาน ๔ ไว้ด้วย ในสูตรที่ ๙ ชื่อว่า มหาสติปัฏฐานสูตร ผู้ปรารถนาหลักปฏิบัติ ไม่ควรละเลยสูตรนี้ เพราะว่า ทรงแสดงไว้อย่างละเอียด ชัดเจนแจ่มแจ้ง ขอนำเพียงข้อแรกมากล่าวแต่เพียงย่อ ๆ ดังนี้
การพิจารณากายในกาย มี ๖ วิธี คือ
๑.อานาปานบรรพ ว่าด้วยการกำหนดพิจารณาลมหายใจเข้าออก
๒.อิริยาปถบรรพ ว่าด้วยการกำหนดพิจารณา อิริยาบถ ๕ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน
๓.สัมปชัญญบรรพ ว่าด้วยการกำหนดพิจารณา ความรู้สึกตัวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว มีคู้แขน เหยียดแขน ดื่ม กิน เป็นต้น
๔.ปฏิกูลบรรพ ว่าด้วยการกำหนดพิจารณาอาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เป็นต้น (ให้เห็นเป็นของไม่สะอาด)
๕.ธาตุบรรพ ว่าด้วยการกำหนดพิจารณาธาตุ ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม
๖.นววสีวถิกาบรรพ ว่าด้วยการกำหนดพิจารณาซากศพ
ผู้ต้องการนำไปปฏิบัติ โปรดค้นคว้าหาหลักฐานได้จากพระสูตรเล่มดังกล่าวนั้นเถิด มีครบทั้ง ๔ ข้อ ที่สำคัญคือทรงแสดงวิธีปฏิบัติอย่างชัดเจนมาก พระธรรมเทศนาเกี่ยวกับสติปัฏฐานนี้ ทรงแสดงไว้อีกหลายแห่งเช่นในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ เล่มที่ ๑๔ และเล่มที่ ๑๙ บางแห่งก็แยกแสดงไว้ เพื่อเกื้อกูลแก่การปฏิบัติ ก็สามารถค้นคว้าดูได้
พระสูตรอีกเล่มหนึ่ง คือ พระสูตรเล่มที่ ๓ ชื่อ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑) โดยเฉพาะ สิงคาลกสูตร ซึ่งมีหลักธรรมที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะในสูตรนี้ มีหลักธรรมที่เกี่ยวกับสถาบันครอบครัวโดยตรง เช่นข้อธรรมที่เกี่ยวกับ อบายมุข (ทางแห่งความหายนะ) ๖ ประการ คือ
๑.ดื่มน้ำเมา
๒.เที่ยวกลางคืน
๓.เที่ยวดูการเล่น
๔.เที่ยวเล่นการพนัน
๕.คบคนชั่วเป็นมิตร
๖.เกียจคร้านทำการงาน
พระพุทธองค์ ครั้นทรงแสดงอบายมุข ๖ ประการ ดังนี้แล้ว ต่อจากนั้น ได้ตรัสถึงโทษของอบายมุขแต่ละข้อ ๆ อย่างละเอียด ขอกล่าวเฉพาะข้อที่ ๑ เท่านั้น
ดื่มน้ำเมามีโทษ ๖ ประการ คือ
๑.เสียทรัพย์
๒.ก่อการทะเลาะวิวาท
๓.เกิดโรค
๔.ถูกติเตียน
๕.ไม่รู้จักอาย
๖.บั่นทอนกำลังปัญญา (เข้าลักษณะสมองเสื่อม)
นี้เป็นเพียงตัวอย่างในข้อเขียนนี้ ในสิงคาลกสูตร ยังมีข้อธรรมอีกหลายหมวดที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้สำหรับผู้ครองเรือนโดยเฉพาะ เป็นพระธรรม-เทศนาที่เป็นจุดเด่นของพระสูตรนี้ทีเดียว เพราะเป็นข้อธรรมที่จะนำความสุขมาให้แก่ครอบครัวและจะปรับระดับครอบครัวให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ ผู้ต้องการให้มีครอบครัวที่เป็นสุขสมบูรณ์ โปรดนำไปปฏิบัติเถิด โดยเฉพาะข้อน้ำเมา ก็โปรดลด ละ เลิก และหาทางควบคุม เพราะความหมายของธรรมข้อนี้ย่อมครอบคุมไปถึง ของหมักดองที่ให้เกิดความมึนเมาทุกชนิดและแน่นอนย่อมรวมไปถึง ยาบ้าอีกด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับข้อปฏิบัติในสิงคาลกสูตรมีอยู่ในหนังสือนวโกวาทก็มี หาได้ตามร้านขายหนังสือธรรมะทั่ว ๆ ไป
เมื่อกล่าวถึง เอตทัคคบุคคล คือ ผู้ที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่า ดีเด่น เป็นเลิศในทางไหนบ้าง หลายคนคงต้องการทราบเป็นแน่ เอตทัคคบุคคล ที่มีในหนังสือต่าง ๆ ส่วนมากก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ในที่นี้นำพระสูตรเล่มที่ ๑๒ ชื่อ อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐) มากล่าวไว้ เพราะในพระสูตรเล่มนี้ มีกล่าวถึงเอตทัคคบุคคลไว้ครบทั้ง ๔ บริษัท คือ ฝ่ายภิกษุอรหันต์ ๔๑ องค์ ฝ่ายภิกษุณีอรหันต์ ๑๓ องค์ ฝ่ายอุบาสก ๑๐ คน ฝ่ายอุบาสิกา ๑๐ คน ขอนำมาเป็นตัวอย่างฝ่ายละ ๒ เท่านั้น
ฝ่ายภิกษุ
๑.พระอัญญาโกณฑัญญเถระ เลิศในทางรัตตัญญู (รู้ราตรีนาน คือมีประสบการณ์มาก)
๒.พระสารีบุตร เลิศในทางมีปัญญา
ฝ่ายภิกษุณี
๑.พระนางปชาบดีเถรี เลิศในทางรัตตัญญู
๒.พระนางเขมาเถรี เลิศในทางมีปัญญา
ฝ่ายอุบาสก
๑.ตปุสสะและภัลลิกะ เลิศในทางถึงสรณะ (พ่อค้า ๒ คน ได้พบพระพุทธองค์ที่โคนต้นราชายตนะ ครั้งตรัสรู้ใหม่ๆ)
๒.อนาถบิณฑิกเศรษฐี เลิศในทางถวายทาน
ฝ่ายอุบาสิกา
๑.นางสุชาดา เลิศในทางถึงสรณะ
๒.นางวิสาขา เลิศในทางถวายทาน
ในเอกกนิบาต ยังกล่าวถึงธรรมที่เป็นเอกในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าไว้หลายประการ ดังที่พระองค์ทรงแสดงถึง จิต ไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้สักอย่างหนึ่งที่บุคคลอบรมดีแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ เหมือนจิตนี้เลย ภิกษุทั้งหลายจิตที่บุคคลอบรมดีแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้
พระสูตรเล่มที่ ๑๘ (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖) ก็เป็นอีกเล่มหนึ่งที่ควรแก่การศึกษาไว้ประดับสติปัญญาเป็นอย่างยิ่ง ในที่นี่ขอแนะนำ เถรคาถาและเถรีคาถา ซึ่งว่าด้วยธรรมภาษิต ของพระอรหันตสาวก ๒๖๔ รูป ของพระอรหันตสาวิกา ๗๓ รูป แต่ละรูปได้กล่าวธรรมภาษิตที่ประกอบด้วยธรรมะมากมายหลายประเภท ขอนำมาเป็นตัวอย่าง ฝ่ายละ ๒ รูป ดังนี้
ฝ่ายภิกษุ
๑.พระสุภูติเถระ กล่าวธรรมภาษิตไว้ว่า ฝนเอ๋ย กุฏิของเราสบาย มุงบังมิดชิด จงตกตามสบายเถิด จิตเราหลุดพ้น ตั้งมั่นดีแล้ว เราปรารถนาความเพียรอยู่ จงตกลงมาเถิดฝน
๒.นางติสสาเถรี กล่าวธรรมภาษิต(สอนตน)ไว้ว่าติสสา เธอจงศึกษาในไตรสิกขา โยคกิเลสทั้งหลายอย่าได้ครอบงำ
เธอเลยเธอ จงพรากจากโยคกิเลสทั้งหมด เที่ยวไปในโลกอย่างไม่มีอาสวะเถิด
ธรมภาษิตของพระเถระและพระเถรีเหล่านี้ ดังที่ได้ยกมากล่าวเพียงเล็กน้อยนี้ ล้วนเป็นธรรมะสอนใจอย่างประเสริฐ เป็นลีลาวาทะ ของท่านผู้สำเร็จธรรมชั้นสูงทั้งนั้น ไม่เป็นโทษแก่ใคร ๆ แม้น้อยนิด ไม่เป็นพิษแก่ผู้ฟังเลย เป็นถ้อยคำที่เป็นหลักฐาน เป็นอรรถเป็นธรรม ส่วนที่เหลือมีจำนวนอีกเป็นหลายร้อยรูป โปรดศึกษาดูเถิด รับรองว่า ท่านจะปิดประตูอบายได้แน่นอน เพราะคำสอนที่เป็นธรรมภาษิต ที่ปรากฏในเถรคาถาและในเถรีคาถานั้น ล้วนเป็นถ้อยคำของท่านผู้ปิดอบายได้แล้วทั้งนั้น
ขอเสนอพระสูตรอีก ๒ เล่ม คือ เล่มที่ ๑๙ และเล่มที่ ๒๐ (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗-๒๘) ในนิกายที่ ๕ หัวข้อ ของขุททกนิกายดังกล่าวแล้วข้างต้น ในข้อว่า ชาดก เรื่องนี้มี ๒ ภาค เป็นเรื่องใหญ่มาก มีจำนวนถึง ๕๕๐ เรื่อง เป็นเรื่องราวในอดีตของพระพุทธองค์ เฉพาะในพระบาลีเล่มที่ ๑๙ นั้น เป็นคาถาสั้น ๆ เรื่องต้น ๆ มีเฉพาะคาถาไม่ยาวนัก ส่วนรายละเอียดมีอยู่ในหนังสือชั้นอรรถกถามีการนำบุคคลเข้ามาประกอบการแสดงธรรม ตามหลักของการแสดงอย่างบุคลาธิษฐานตอนจบก็จบลงด้วยการแสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ซึ่งมีเนื้อหาสารธรรมทั้งนั้น ดังเรื่อง วัณณุปถชาดก ซึ่งถอดความได้ว่า
ในอดีต เมื่อพระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน เดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง ต้องเดินทางผ่านทะเลทรายอันร้อนจัด เดินทางได้เฉพาะตอนกลางคืน กลางวันพักผ่อน ครั้นเดินทางไปใกล้จะถึงจุดหมายปลายทาง เหลือระยะทางไม่ไกลนัก ประมาณอีกคืนเดียวก็จะถึง หัวหน้าพ่อค้า จึงให้บริวารเทน้ำทิ้งพร้อมทั้งฟืนด้วย เพื่อให้เกวียนเบา การเดินทางจะได้เร็วขึ้น พอตกกลางคืนก็ออกเดินทาง ขณะเดินทางนั้น ด้วยความอ่อนเพลีย ผู้นำทางจึงเผลอหลับไป กองเกวียนจึงเดินวกวนกลับมายังที่เดิม เวลาก็ใกล้สว่างพอดี กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว น้ำก็หมด ฟืนก็ไม่มี พวกบริวารก็พากันทอดอาลัยในชีวิต หัวหน้ากองเกวียนจึงได้เดินสำรวจดูตามบริเวณนั้น ก็ได้พบกอหญ้าขึ้นเขียว ๆ อยู่แห่งหนึ่ง ก็รู้ได้ว่า ภายใต้พื้นทรายต้องมีน้ำแน่ จึงให้บริวารขุดลงไป แต่ก็ไม่ได้พบน้ำ พบแต่แผ่นหินขวางอยู่ ก็พากันท้อใจ แต่หัวหน้ากองเกวียนมิได้เป็นเช่นนั้น โดดลงไปในหลุมนั้นแล้วใช้หูแนบกับแผ่นหิน ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ข้างใต้ ก็รู้ได้ว่า มีน้ำอยู่ข้างใต้ จึงให้บริวารขุดเจาะแผ่นหินนั้น น้ำก็พุ่งขึ้นมาสูงขนาดชั่วลำตาลทีเดียว ทั้งหมดก็พากันดื่มและอาบ รอดตาย เดินทางไปค้าขาย ได้ทรัพย์เป็นอันมาก สมประสงค์ ทั้งที่ในตอนแรก พากันถ้อถอยเมื่อไม่พบน้ำ อาศัยเหตุนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาว่า
พ่อค้าเกวียน ไม่เกียจคร้าน (หาน้ำ) ในทางทราย (ม่ท้อถอย) จึงได้ขุดน้ำในเนินทราย (ทะเลทราย)ผู้เป็นมุนี (ผู้ประพฤติธรรม) ก็เช่นกัน ประกอบกำลังคือความเพียร ไม่เกียรจคร้าน ก็พึงประสบความสงบแห่งหทัยได้(บรรลุธรรม)
เรื่องชาดก (ภาค ๒) ในพระสูตรเล่มที่ ๒๐ (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘) ในพากษ์ภาษาบาลี เป็นคาถาที่เป็นคำฉันท์ค่อนข้างยาว เมื่อแปลแล้วก็ได้ใจความที่สมบูรณ์ทีเดียว ที่สำคัญนั้น คือ มีเรื่องพระเจ้าสิบชาติ รวมอยู่ในเล่มนี้ด้วย โดยเฉพาะมี เรื่อง มหาชนกชาดก ซึ่งเป็นชาดกที่มีชื่อเสียง ลือกระฉ่อนไปทั้งในประเทศและนอประเทศ เพราะเหตุที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เป็น หัวข้อพระราชนิพนธ์ เชิงเป็นเทศนาสั่งสอนประชาชน จัดว่า เป็นชาดกที่โด่งดังที่สุดในยุคโลกาภิวัตน์นี้
การศึกษาเรื่องชาดก ผู้ศึกษาจะได้ความฉลาดทั้งในศีลธรรมและคุณธรรมที่แฝงอยู่ในเรื่องชาดก แต่ไม่ใช่ฉลาดแกมโกง อย่างคนที่มีปริญญาทางโลกอย่างเดียว เพราะชาดก คือ เรื่องราวความเป็นมาของพระพุทธองค์ในอดีตชาติ เป็นการสอนธรรมะให้เป็นรูปธรรม จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจท่าน แต่ให้ข้อสังเกตไว้ว่า บรรพบุรุษของเราทั้งหลายยึดมั่นพระพุทธศาสนา ใช้คุณธรรมนำชีวิต บรรพบุรุษของเราในอดีตก็มีความสุขเกษม ไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีการล้างผลาญกันมากเยี่ยงในปัจจุบันนี้
พระสูตรเล่มที่ ๒๔ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒) ข้อว่า อุปทาน ผู้อ่านจะได้ทราบประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้า ของพระปัจเจกพุทธเจ้า โดยเฉพาะของพระอรหันตสาวก จำนวน ๔๑๐ รูป ในพระสูตรเล่มที่ ๒๕ อีก ๑๕๑ รูป ทั้งยังมีอปทานของพระอรหันตสาวิกาอีก ๔๐ รูป (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓)
อปทาน คือ การเล่าประวัติความเป็นมาของตนเอง อาจเรียกได้ว่า อัตชีว-ประวัตินั่นเอง ว่าเป็นใครมาจากไหน ได้ปฏิบัติธรรมมาอย่างไรในอดีต เป็นเรื่องยาวมาก ในพระบาลี เป็นคาถาทั้งหมดมีลักษณะเป็นคำฉันท์ มีลีลาในการใช้ภาษา ในเชิงวรรณคดี ถ้อยคำก็ไพเราะมากในรูปศัพท์ต่าง ๆ มีการบรรยายถึงประวัติคุณธรรมต่าง ๆ ก็แต่เฉพาะนักศึกษาบาลีเท่านั้น จึงจะซาบซึ้งและประทับใจในรสของภาษา จุดเด่น ของอปทาน ก็คือ ธรรมะมากมายหลายประเภทที่สอดแทรกอยู่ในทุกบททุกตอน
ลำดับนี้ ขอนำ อปทานของพระพุทธองค์พุทธาปทานมากล่าวไว้เป็นข้อแรก เพราะพระพุทธองค์ทรงแสดงข้อธรรมสอดแทรกไว้ อาจจะเตือนจิต สะกิดใจใครได้บ้าง
มีเรื่องซึ่งถอดความได้ว่า ครั้งหนึ่ง พระอานนท์ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า เป็นได้อย่างไร ต้องปฏิบัติอย่างไร พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าต้องบำเพ็ญบารมีด้วยเวลาอันยาวนาน ต้องได้พบพานพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ พร้อมทั้งต้องปฏิบัติ สักการะ บูชา พระพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้วปรารถนาพระโพธิญาณ ปฏิบัติธรรม ตั้งจิตมั่น ไม่ท้อถอย มุ่งตรงต่อพุทธภูมิ ในตอนหนึ่งของพุทธาปทาน ทรงแสดงพระธรรมเทศนาไว้ว่า
ท่านทั้งหลายจงเห็นความเกียจคร้านเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่เห็นความเพียรเป็นสิ่งปลอดภัย จงมาบำเพ็ญเพียรเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า จงเห็นการวิวาทกันเป็นสิ่งน่ากลัว จงเห็นความไม่วิวาทกันเป็นสิ่งปลอดภัย จงสมานสามัคคี พูดจาไพเราะกันเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า จงเห็นความประมาทเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่จงเห็นความไม่ประมาทเป็นสิ่งปลอดภัย จงเจริญมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เถิด นี้เป็นคำสอนของพะพุทธเจ้า
บัดนี้ ถึงพระสูตรเล่มที่ ๒๕ (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓) ซึ่งเป็นพระสูตรเล่มสุดท้าย ในเล่มนี้มี ๓ ข้อ คือ อปทาน (ภาค ๒) พระพุทธวงศ์ และจริยาปิฎกในที่นี้ ขอกล่าวเฉพาะ ๒ ข้อหลังโดยย่อพอเป็นเครื่องนำทางให้เกิดการศึกษาและค้นคว้าต่อไป
พุทธวงศ์ ว่าด้วยเรื่องของพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ (พระพุทธเจ้าของเราก็ร่วมอยู่ด้วย) เริ่มต้นแต่พระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นต้นมา เป็นเรื่องที่แสดงความเป็นมาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอย่างละเอียด ผู้อ่านจะได้ทราบความเป็นมาของพระพุทธองค์ว่าได้พบพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๔ พระองค์ แล้วได้รับพุทธพยากรณ์เป็นลำดับ ๆ มาจนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด พุทธวงศ์จึงมีลักษณะเป็นการกล่าวความเป็นมาย้อนหลังนั่นเอง ดังที่ถอดใจความตอนสุเมธกถาว่า
สมัยที่พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบส เรียนจบไตรเพทมีฌานกล้า วันหนึ่งได้ร่วมด้วยช่วยกันกับชาวบ้าน ทำทางเพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกรพร้อมด้วยหมู่พระสาวก ทางยังไม่เสร็จ เหลืออยู่ประมาณชั่วบุรุษเดียวเท่านั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าก็เสด็จมาถึงพร้อมด้วยพระสาวก สุเมธดาบส มีศรัทธาแรงกล้า จึงได้นอนคว่ำหน้าทอดกายเหนือโคลนตม เพื่อให้พระทีปังกรทรงเหยียบข้ามพร้อมกับหมู่สาวก พระทีปังกรพุทธเจ้า ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น จึงทรงพยากรณ์ว่า ดาบสนี้ จักได้เป็นพระโคตมพุทธเจ้า ในอนาคตเป็นแน่ พระพุทธองค์ตรัสเล่าอีกว่า เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ก็ได้พิจารณาเลือกเฟ้นหาธรรมที่จะก้าวสู่พุทธภูมิ เมื่อได้พิจารณาแล้ว ก็มาหยุดที่บารมี ๑๐ มีทานเป็นต้น นี่คือที่มาของคำว่า พุทธการกธรรม ซึ่งก็คือธรรม ๑๐ ประการ มีทานเป็นต้น ข้อแรก มีอุเบกขาเป็นข้อสุดท้าย พระพุทธองค์ได้สมาทานยึดมั่นไม่ท้อถอยตราบเท่าบรรลุพระสัพพัญญูเป็นพระพุทธเจ้า
จริยาปิฎก ว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธองค์นั่นเอง ข้อนี้ซ้ำกับข้อที่ว่าชาดก ที่กล่าวไว้แล้วในพระสูตร เล่มที่ ๑๙ และ ๒๐ (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗-๒๘) แต่ในข้อนี้เป็นเรื่องสั้น ๆ เพียง ๓๕ เรื่องเท่านั้น เพราะทรงมุ่งแสดงการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ ให้เป็นตัวอย่างว่าผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร สำหรับนักภาษาบาลี จริยาปิฎกให้ความรู้ด้านกวีวจนะอีกแบบหนึ่ง คล้ายกับพุทธวงศ์ที่เน้นการใช้ภาษาที่หลากหลายดังนั้น ทั้ง ๒ ข้อ คือพุทธวงศ์และพุทธจริยาปิฎก มีจุดเด่นอยู่ที่การใช้ภาษาและถ้อยคำ นอกจากหลักธรรมที่ปรากฏอยู่ จัดว่าเป็นสุดยอดของภาษาบาลีทีเดียว เหมือนในข้อ อุปทาน นั้นเอง ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า นักศึกษาภาษาบาลีเท่านั้น จึงได้เข้า
ถึงรสของภาษาได้ ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางภาษาบาลี สมควรศึกษาที่แปลเป็นภาษาไทยแล้ว และยึดถือสาระสำคัญของพระธรรมที่มีอยู่ในเรื่องนั้น ๆ ก็จักไม่ไร้ผลที่พึงปรารถนาเป็นแน่
ข้อเขียนที่เกี่ยวกับพระสูตร จบลงแล้ว แต่เป็นการจบที่ไม่สมบูรณ์เลย เพราะไม่อาจเปิดพระสูตร นำพระสูตรทุกเล่ม ทุกสูตร ทุกข้อธรรม ออกมาเปิดเผยให้แก่ผู้ใคร่ธรรมได้ แต่ก็มีทางจะจบอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าผู้อ่านได้เปิดพระสูตรอ่านศึกษา กำหนดจดจำข้อธรรมอันประเสริฐที่สุด ซึ่งไม่มีคำสอนของศาสดาใด ๆ ในโลกจะทัดเทียมได้ จากนั้น ก็น้อมนำไปปฏิบัติตามพระพุทธโอวาท ก็จัดว่าได้จบลงอย่างสมบูรณ์เหมือนกันและป็นการจบที่พึงปรารถนาทีเดียว

top