ความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎก l ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระไตรปิฎก l พระไตรปิฎกวิจารณ์ l บทความพระไตรปิฎก  

ดูบทความอื่นๆ หน้าหลัก

บาลีคืออะไร ?


โดย Prof. Richard Gombrich พระมหาเทียบ สิริญาโณ / มาลัยแปล เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542 หน้า 235 - 244

บาลีคืออะไร ? ในฐานะเป็นชื่อของภาษา ในบาลี คำว่า ปาลิภาสา เป็นคำย่อ๑ หมายถึง “ภาษาของคัมภีร์” คำแปลเต็มรูปของคำว่าบาลี คงเป็น “คัมภีร์สำหรับสาธยาย” คัมภีร์ที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ คือคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนายุคแรก ๆ ซึ่งได้รับการรักษาสืบ ๆ กันมาเป็นพิเศษโดยชาวพุทธฝ่ายเถรวาท ในรูปแบบการสืบทอดต่อ ๆ กันมานั่นเอง คัมภีร์เหล่านั้นได้อ้างกันว่าเป็นพระไตรปิฎก ซึ่งตามพยัญชนะแปลว่า “สิ่งที่มีอยู่ในตระกร้า ๓ ใบ” และได้รับการยอมรับว่าเป็น “พระพุทธวจนะ” โดยปกติ คำว่า พระไตรปิฎก เรียกกันในภาษาอังกฤษ ว่า “The Pali Canon”
เพราะฉะนั้น คำตอบอันดับแรกที่ยังมีเงื่อนไขอยู่สำหรับคำถามในเบื้องต้น ก็คือ บาลีนั้นเป็นภาษาของคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาในยุคแรก ๆ ตามที่รักษาสืบทอดต่อ ๆ กันมาแบบชาวพุทธ(ที่รักษาไว้ตามต้นฉบับเดิม, แต่มิใช่คงที่)อย่างหนึ่ง เราจะพยายามให้คำตอบนั้น อันดับแรกจะให้คำตอบให้เป็นแหล่งความรู้ แล้วขยายให้กว้างขวางขึ้น ขอให้เราสรุปทันทีว่าเราจะขยายคำตอบอย่างไร บาลีไม่ใช่ภาษาที่มีขอบเขตจำกัดอยู่เพียงภาษาที่ใช้ในคัมภีร์พระบาลีเลย ชาวพุทธฝ่ายเถรวาทใช้บาลีสืบต่อกันมา ทั้งในอรรถกถาทั้งหลาย งานวรรณนาอื่น ๆ พงศาวดารทั้งหลาย และงานทางวรรณกรรมอื่น ๆ ในโอกาสที่เหมาะสม งานทั้งหมดไม่ได้สัมพันธ์กันอย่างใกล้เคียงกับคัมภีร์ในยุคต้น ๆ บาลีได้ใช้เป็นภาษาพูด และเป็นอุปกรณ์ของการสื่อสารระหว่างนักปราชญ์ชาวพุทธเหมือนกัน จะอย่างไรก็ตาม ใคร ๆ สามารถจะกล่าวได้อย่างปลอดภัยว่าด้วยข้อยกเว้นที่ไม่สำคัญ และบางทีไม่ใช่ของแท้ ชาวพุทธฝ่ายเถรวาทเท่านั้นใช้ภาษาบาลี และคัมภีร์ส่วนมากที่เขียนเป็นภาษาบาลี มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับรูปแบบการสืบทอดต่อ ๆ กันมาทางศาสนาที่กล่าวแล้วนั้น
เพื่อที่จะอธิบายคำตอบที่มีเงื่อนไขให้เป็นคำตอบที่ให้ข้อมูลความรู้มากขึ้น จะต้องถามว่าบาลีเป็นภาษาของถิ่นใด ? คำถามนี้ต้องการคำตอบ ๒ ประเภท คือ (๑) คำตอบที่ได้รับจากรูปแบบของภาษาบาลีสืบทอดต่อ ๆ กันมา (๒) คำตอบที่ได้รับจากนักนิรุกติศาสตร์ยุคใหม่ จากรูปแบบของภาษาบาลีที่สืบทอดต่อ ๆ กันมา ภาษาบาลีเคยเป็นที่รู้จักกันว่า “มาคธี” คือภาษาของแคว้นมคธ คำว่า มคธ เป็นชื่อโบราณใช้เรียกพื้นที่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ไม่มีเขตแดนที่แน่นอน และในสมัยต่าง ๆ บ่งถึงพื้นที่ที่มีขอบเขตต่าง ๆ กัน แต่เป็นไปได้อย่างมากที่ มคธ อาจเป็นรัฐพิหารในปัจจุบัน เมืองหลวงของรัฐพิหารทุกวันนี้คือปัตนะ และนั่นก็คือเมืองเดียวกับเมืองปาฏลิบุตรซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิเมารยะ (ปลาย ศตวรรษที่ ๔ -๓ ก่อนคริสตศักราช) กษัตริย์องค์ที่ ๓ ของจักรวรรดินั้นคือพระเจ้าอโศก (ประมาณ ๒๖๙-๒๓๑ ปี ?) ได้ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างมาก และทรงอุปถัมภ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงใช้พระชนมชีพส่วนใหญ่ของพระองค์ในแคว้นมคธและแคว้นใกล้เคียง ภาษาบาลีได้รับขนานนามว่า “มาคธี” เพราะความเชื่อที่ว่าบาลีเป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัส ดังนั้นบาลีจึงเป็นภาษาที่ใช้พูดกันรอบข้างพระองค์๑ พระอรรถกถาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ คือ พระพุทธโฆษาจารย์ (คริสตศตวรรษที่ ๕) ได้เขียนไว้ว่า ถ้าเด็ก(ในมคธ)ไม่ได้ยินภาษาอื่นใด เด็กก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาพร้อม ๆ กับพูด
ภาษามาคธี (ภาษาบาลีของเรา) ได้ และว่ามีภาษารากฐาน๒ (ซึ่งทำให้ ภาษาอื่น ๆ เกิดขึ้น) แต่ไม่มีหลักฐานสำหรับความเชื่อเช่นนั้นในคัมภีร์ยุคเก่า ในทางที่ตรงกันข้าม มีเหตุผลดีพอที่จะคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงยอมรับรูปแบบตามธรรมชาติของภาษาที่ตรัส อย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นไม่ใช่ภาษาบาลี แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับภาษาบาลีที่เราพอจะเห็นได้ก็ตาม
นักนิรุกติศาสตร์สมัยใหม่จัดแบ่งประเภทของภาษาว่าบาลีเป็นรูปลักษณ์หนึ่งของภาษาอินโด-อารยันสมัยกลาง ที่อินเดียสืบทอดกันมา ภาษากลุ่มนี้ เรียกกันว่าภาษาปรากฤต คำ “บาลี” และ “ปรากฤต” ทั้ง ๒ คำนี้ อธิบายเรื่องภาษาต่าง ๆ ที่มาจากภาษาสันสกฤตโดยตรง ซึ่งนักนิรุกติศาสตร์ทั้งหลายเรียกว่า ภาษาอินโด-อารยันโบราณ บางท่านแบ่งภาษาอินโด-อารยันโบราณออกเป็น ๒ ประเภท คือ ภาษาสันสกฤตมาตรฐาน ซึ่งนักไวยากรณ์นามว่า ปาณินิ (ประมาณศตวรรษที่ ๔ ก่อนคริสตศักราช) ได้ประมวลขึ้น และภาษาสันสกฤตก่อนมาตรฐานซึ่งได้แก่สันสกฤตในคัมภีร์พระเวท ภาษาสันสกฤตเป็สาขาหนึ่งของภาษาอินโด-อิราเนียน และในทางกลับกัน ภาษาอินโด-อิราเนียน ก็เป็นภาษาอินโด-ยุโรเปียนสาขาหนึ่ง ภาษาอินโด-ยุโรเปียนเป็นโครงสร้างใหม่ทางทฤษฎี โดยนักภาษาศาสตร์สมัยใหม่ภาษาหนึ่ง (รวมทั้งภาษาถิ่นหลายภาษา) ซึ่งประชาชนผู้ก่อตัวขึ้น ณ แห่งใดแห่งหนึ่งใกล้ทะเลดำ และเดินทางผ่านพื้นที่ที่กว้างขวาง๑ ใช้พูดกันมากว่า ๓,๐๐๐ ปีแล้ว ภาษาอินโด-ยุโรเปียน ซึ่งไม่มีการบันทึกโดยตรงเหลืออยู่นั้นเป็นต้นสกุลของภาษาสมัยใหม่จำนวนมาก ตั้งแต่ภาษาสิงหลและภาษาเบงคอลี ในตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงภาษาอังกฤษและภาษาเซลติกในทางตะวันตกเฉียงเหนือ และของภาษาจำนวนมากซึ่งปัจจุบันได้สูญหายไปแล้ว มีผู้เข้าใจผิดซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปถึงขนาดว่า สันสกฤตเป็นภาษาอินโด-ยุโรเปียนที่
เก่าแก่ที่สุด เป็นความจริงที่ว่า หลักฐานทางภาษาสันสกฤต เป็นหลักฐานที่เก่ากว่าภาษาอินโด-ยุโรเปียนส่วนมาก(มิใช่ทั้งหมด) แต่ข้อนั้นมิได้หมายความว่า ภาษาสันสกฤตเก่ากว่าภาษาอื่น ๆ ซึ่งมีหลักฐาน ปรากฏมีในภายหลัง นอกจากนี้เราจะต้องแบ่งแยกระหว่าง หลักฐาน ๒ อย่าง คือ ภาษามุขปาฐะ กับภาษาเขียน มีข้อโต้แย้งที่น่าสรรเสริญว่า คัมภีร์สันสกฤตที่เก่าที่สุด ได้แก่ ฤคเวท มีอายุย้อนหลังไปถึงช่วงหลัง ๑,๐๐๐ ปีแรกก่อนค.ศ. (ไม่สามารถที่จะกำหนดเวลาแน่นอนได้) แต่มิได้จดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเวลามากกว่า ๓,๐๐๐ ปี หลักฐานที่บันทึกยุคต้นสำหรับงานเขียนในอินเดีย คือ จารึกพระราชโองการของพระเจ้าอโศก ภาษาเขียน บางทีใช้กันทางทิศตะวันตกเฉียง เหนือไกลของอินเดีย (ปากีสถาน/อัพกานิสถาน ปัจจุบัน) ในยุคต้น ๆ โดยใช้ตัวอักษรซึ่งสูญหายไปอย่างรวดเร็วและไม่เหลือผู้สืบทอดไว้เลย นอกจากประวัติทางวัฒนธรรมทั่วๆไปของอินเดีย ซึ่งจัดเป็นช่องว่าง จารึกของพระเจ้าอโศกเป็นภาษาปรากฤต มิใช่ภาษาสันสกฤต มีเหตุผลที่ดีที่จะคิดไปว่า คัมภีร์ทั้งหลายทั้งในภาษาสันสกฤตและภาษาปรากฤต เริ่มใช้บันทึกกันในศตวรรษที่ ๒ ก่อนคริสตศักราช ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานโดยตรงของคัมภีร์ที่เขียนในยุคนั้นเหลืออยู่ก็ตาม
ความแตกต่างระหว่างประเภทของหลักฐานซึ่งหาได้นี้ มีความสำคัญสำหรับความคิดที่แจ่มชัดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ภาษาบาลี ขอให้เราทำงานย้อนหลังสู่อดีต หลักฐานทางกายภาพส่วนมากของภาษาบาลีน่าแปลกที่พบมาไม่นานนี่เอง เอกสารตัวเขียนภาษาบาลีที่เหลืออยู่ในศรีลังกาและพม่า ได้รับการคัดลอกไว้ในศตวรรษที่ ๑๘ และ ๑๙ เอกสารตัวเขียนมากมายในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่ง Prof. Von Hinuber นำมาแสดงให้รู้จักกันทั่วไป มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๖ เฉพาะฉบับตัวเขียนในที่อื่น ๆ จำนวนน้อยเท่านั้นที่รู้จักกันว่า มีอายุเก่ากว่าฉบับทางภาคเหนือของประเทศไทย นักไวยากรณ์ทั้งหลาย ซึ่งสร้างไวยากรณ์ และฉันทลักษณ์ภาษาบาลีเป็นระบบในพม่าในศตวรรษที่ ๑๒ พยายามใช้อิทธิพลอย่างมากที่อธิบายว่า ภาษาเขียนในที่อื่นก็มี ความเป็นมาเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เฉพาะเอกสารตัวเขียนภาษาบาลีที่มีมาก่อนนักไวยากรณ์เหล่านั้น ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่าภาษาใดภาษาหนึ่งซึ่งเป็นภาษาเดียวกับภาษาที่สงวนรักษาไว้ในเอกสารตัวเขียนยุคหลังในทุกแง่มุมพยานหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดนี้ ประกอบไปด้วยเอกสารตัวเขียนคัมภีร์หลัก ฉบับหนึ่งซึ่งมี ๔ ใบ เอกสารชิ้นนี้อยู่ในเมืองกาฐมัณฑุ และมีอายุประมาณคริสตศักราช ๘๐๐ ตามหลักฐานอักขรวิธีโบราณ ดูเหมือนว่าได้รับการคัดลอกมาจากต้นฉบับดั้งเดิมทางอินเดียตอนเหนือซึ่งมีอายุเก่ากว่านั้น ๑๐๐ ปีการที่เราพิจารณาเอกสารตัวเขียนของกาฐมัณฑุว่าเป็นหลักฐานของภาษาบาลีที่เก่าแก่ที่สุดที่เหลืออยู่หรือไม่ เป็นเรื่องของคำจำกัดความในระดับหนึ่ง เท่านั้น (ในเอกสารดังกล่าว) มีตราเก่า ๆ โดยมีสูตรภาษาบาลีจารึกลงบนตราเหล่านั้นซึ่งมีคำ ๒-๓ คำเท่านั้นและมีจารึก ๒ หลักที่
พบในอินเดีย ซึ่งมีอายุถึงศตวรรษที่ ๕ หรือใกล้เคียง มีข้อความในคัมภีร์หลักอยู่หลายบรรทัด ข้อความเหล่านั้นเป็นภาษาถิ่นของอินโด-อารยันสมัยกลางภาษาหนึ่ง ซึ่งใกล้เคียงกับภาษาบาลีมาก แต่มีความแตกต่างทางการออกเสียงบางแห่ง ด้วยเหตุนี้ Prof. von Hinuber จึงเรียกข้อความเหล่านั้นว่า “บาลีภาคพื้นทวีป”๑ ซึ่งไม่ได้นำมาพิจารณาในหนังสือนี้
ตามพงศาวดารฝ่ายเถรวาท ระบุว่า มีการจารึกคัมภีร์ภาษาบาลีเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกที่วัดแห่งหนึ่งในภาคกลางของศรีลังกา ในคริสตศตวรรษที่ ๑ ในรัชกาลของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย๒ น่าเสียดายที่มีทฤษฎีเกี่ยวกับพงศาวดารของศรีลังกาในยุคนี้ ๒ ทฤษฎี ถ้าเราถือตาม Geiger๓ รัชกาลของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย อยู่ในช่วง ๒๙-๑๗ ก่อนคริสตศักราช ถ้าถือตาม Mendis๔ รัชกาลของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยตกอยู่ในช่วง ๖๐ ปีก่อนหน้านั้น พอมีเหตุผลที่จะสันนิษฐานได้ว่า คัมภีร์บางเล่มอาจจะจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนหน้านั้นในอินเดียหรือศรีลังกา แต่จารึกเป็นภาษาอะไรเราไม่รู้ วิธีการจารึกคัมภีร์จะต้องทำเนื้อความของคัมภีร์ให้คงเดิม ถึงแม้จะมีข้อมูลคัมภีร์ที่พิเศษ ๒-๓ เล่ม จะต้องนำมาพิจารณาว่าเป็นคัมภีร์ทางศาสนา (คือเป็นส่วนของพระไตรปิฎก) หรือไม่นั้น เป็นเรื่องซึ่งยังไม่ลงตัวแน่นอนจนกระทั่งปัจจุบัน
การจารึกคัมภีร์มิได้ยืนยันเรื่องการสื่อสารที่สมบูรณ์มากกว่าความจริงที่ว่า ต้นฉบับตัวจริงได้รับการรักษาเอาไว้ทุกครั้งที่คัมภีร์ถูกคัดลอก เพื่อมิให้มีความผิดผลาดเกิดขึ้น อรรถกถาพระไตรปิฎก ซึ่งส่วนมากระบุว่าเป็นของพระพุทธโฆษาจารย์ แม้ท่านจะเก็บข้อมูลเก่า ๆ เป็นส่วนมากไว้ก็ตาม แต่ได้บันทึกคำอ่านจำนวนน้อยที่แตกต่างออกไป และละเลยความผิดพลาดอื่น ๆ ในคัมภีร์ (อย่างที่ปรากฏชัดแก่เรา) โดยไม่เอ่ยถึง แต่กระนั้นความผิดพลาดเหล่านั้น ก็มีผลกระทบเล็กน้อยเท่านั้นต่อคัมภีร์ทั้งหมด ความผิดพลาดเหล่านั้นมีขอบเขตจำกัดมากเกินไปที่จะทำให้ทัศนะเกี่ยวกับอักษรของภาษาทั้งหมดไม่กระจ่าง โดยทั่ว ๆ ไป อาจสันนิษฐานอย่างปลอดภัยว่าภาษานั้นเป็นภาษาบาลี อย่างที่เรารู้จักกันมาอย่างมากและที่พรรณนาไว้ในหนังสือเล่มนี้
ดังนั้น ภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้บันทึกพระไตรปิฎกเป็นลายลักษณ์อักษรมีความสัมพันธ์กับภาษาที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เทศนาอย่างไร ? เรื่องนี้เป็นหัวเรื่องที่จะต้องถกเถียงกันในระดับผู้มีความรู้อย่างมาก แต่ในที่นี้ ไม่จำต้องกล่าวย้ำข้อถกเถียงนั้น และเราจะไม่พูดถึงรายละเอียด เพราะอาจไม่เข้าใจหัวข้อที่สำคัญ เรารู้มาว่าพระพุทธเจ้าตรัสภาษาปรากฤตซึ่งเป็นรูปลักษณ์แบบหนึ่ง(และหลายรูปลักษณ์ ในขณะที่พระองค์เสด็จไป) พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่ในศตวรรษที่ ๕ ก่อนคริสตศักราช๑ ดังนั้น ภาษาสันสกฤตซึ่งสัมพันธ์กันอย่างมากกับพระดำรัสของพระองค์นั้น จึงเป็นภาษาสันสกฤตแบบก่อนมาตรฐาน๒, เรารู้มาว่า พระองค์ทรงอนุญาตให้สาวกทั้งหลายของพระองค์แปลสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้เป็นภาษาถิ่นของตน
(ซึ่งตรงกันข้ามกับคัมภีร์พระเวท ซึ่งมีเสียงศักดิ์สิทธิ์) เรารู้มาว่า คัมภีร์ทั้งหลาย ซึ่งบรรจุพระดำรัสของพระองค์เป็นรูปแบบขึ้นนั้นโดยพระภิกษุและภิกษุณีได้อนุรักษ์ไว้ด้วยมุขปาฐะ สืบต่อกันมาหลายยุค มีหลักฐานเหมือนกันว่า มีช่องว่างในเรื่องเวลาเกือบ ๔๐๐ ปีระหว่างการปรินิพพานของพระพุทธเจ้ากับการจารึกคัมภีร์ภาษาบาลี เหมือนกับมีระยะทางไกลถึง ๑,๕๐๐ ไมล์ ระหว่างพื้นที่ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ กับศรีลังกาภาคกลาง ในขณะที่พระพุทธศาสนาและคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาเจริญมานาน และแผ่ไปในด้านภูมิภาคต่าง ๆ นั้น ภาษาถิ่นที่ใช้จะต้องเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างมาก ก่อนที่คัมภีร์ทั้งหลายจะได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า ภาษาถิ่นของคัมภีร์ทั้งหลายจะมีความสมบูรณ์ หรือถึงแม้ความแตกต่างระหว่างภาษาถิ่นทั้งหลายจะปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ก็จะต้องเป็นเรื่องการสวดออกเสียงให้ปรากฏ เช่น “การออกเสียงของท้องถิ่น” และในแนวยึดท้ายที่สุด ภาษาบาลีมีการจัดระบบการออกเสียงโดยการสร้างการสะกดตัวอักษรซึ่งนักเขียน คัมภีร์เลือกนำเอาไปใช้เป็นอันดับแรก
ระบบเสียงภาษาบาลีมีความไม่แน่นอน ซึ่งเรื่องนี้จะไม่มีในการถ่ายถอดเสียงของภาษาพูดจริงๆในระดับนักปราชญ์สมัยใหม่เลย สำหรับความไม่แน่นอนเหล่านี้ ดูเหมือนมีเหตุผลสำคัญอยู่ ๒ อย่าง อันดับแรก คำบางคำ และแม้การแจกรูปทางไวยากรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ แสดงร่องรอยของภาษาถิ่นจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย (มคธ) ซึ่งไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เหลือของสัทศาสตร์ภาษาบาลี สิ่งเหล่านี้บางทีอาจเป็นตัวแทนของการพยายามที่จะรักษาลักษณะบางอย่างของพระดำรัสของพระพุทธเจ้า และหรือของพระสาวกยุคต้น ๆ ของพระองค์ไว้ รูปคำเหล่านี้ กับสัทศาสตร์ “แช่เย็น” ส่วนมากเป็นตัวแทนศัพท์เฉพาะทางพระพุทธศาสนา ซึ่งบางทีใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำสำหรับรูปแบบของเถรวาท ความไม่สอดคล้องกันที่สำคัญอย่างอื่นจะต้องเนื่องมาจากแบบการสะกดตัวอักษร ในระหว่างศตวรรษต้น ๆ ของพระพุทธศาสนา พราหมณ์ทั้งหลายถกเถียงกันอย่างเหน็ดเหนื่อยและจัดประเภทระบบเสียงภาษาสันสกฤต ภาษาถิ่นปรากฤตสามารถเป็นรูปร่างหรือคิดกันขึ้นได้ก็ด้วยเงื่อนไขด้านคุณค่าทางเสียงของภาษาสันสกฤตนั่นเอง คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนายุคต้น ๆ (คือ ก่อนคริสตศักราช) ทั้งหมด อยู่ในรูปของภาษาปรากฤต และเมื่อคัมภีร์ทั้งหลายถูกบันทึกไว้ อย่างที่พวกเราสามารถเห็นได้มิใช่ในกรณีของภาษาบาลีเท่านั้น แต่ในสิ่งที่เรียกว่าภาษาสันสกฤตผสมทางพระพุทธศาสนาด้วย มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนย้ายถ้อยคำทั้งหลายไปสู่การสะกดตัวแบบภาษาสันสกฤต แน่ละ ตามที่เราจะกล่าวซ้ำข้างล่าง นี้คือแนวโน้มที่เกิดบ่อย ๆ ในประวัติศาสตร์ของภาษาบาลี จะเข้าใจข้อนี้ได้ง่าย ถ้าเราคิดถึงความคล้ายคลึงกัน เมื่อนักเขียนนวนิยายหรือนักเขียนบทละครสมัยใหม่ ต้องการจะบันทึกคำพูดของตัวละคร ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษท้องถิ่น เขาย่อมไม่อธิบายถึงการออกเสียงทางสัทศาสตร์ที่สมบูรณ์ของภาษาท้องถิ่นนั้น ซึ่งแทบจะไม่มีผู้อ่านคนใดเข้าใจได้ แต่เขาจะยอมตามการสะกดตัวของภาษาอังกฤษมาตรฐาน เรื่องนี้ทำให้ไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างมากว่า เราจะสามารถจับความจริงทางการออกเสียงเต็มที่ของภาษา ซึ่งชาวพุทธสวดกันมาก่อนที่คัมภีร์ของชาวพุทธได้ถูกบันทึกไว้ อนึ่ง เราสามารถแน่ใจได้จริง ๆ ว่า สิ่งที่เขียนไว้นั้นค่อย ๆ ก่อให้เกิดอิทธิพลเหนือคำที่เราออกเสียง
ดังนั้นเรากลับมาสู่คำถามเบื้องต้นที่ว่า บาลีคืออะไร ? เราสามารถให้ข้อความที่ให้ความรู้มากขึ้นสำหรับคำตอบเริ่มแรกของเรา และสามารถพูดได้ว่าภาษาบาลีเป็นภาษาปรากฤต (หรืออินโด-อารยันสมัยกลาง ซึ่งเหมือนกัน) แบบหนึ่งซึ่งใช้ในการจารึกคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นในศรีลังกา ในศตวรรษที่ ๑ ก่อนคริสตศักราช
อย่างไรก็ตาม เราได้ชี้แนะไว้แล้วว่า คำตอบนี้ไม่สมบูรณ์ ภาษาหนึ่ง ๆไม่สามารถลดตัวเองมาเป็นตัวอย่าง ในเอกสารยุคต้น ๆ หรือเอกสารที่สำคัญ แม้ในกรณีของภาษาบาลี ชื่อของภาษาบาลี ดูเหมือนให้นัยเช่นนั้น เราได้กล่าวมาแล้วว่า ภาษาบาลีไม่มีขอบเขตจำกัดอยู่เพียงภาษาที่ใช้ในคัมภีร์พระบาลีเท่านั้น ภาษาบาลีได้พัฒนาไปเรื่อย ๆ
รูปแบบที่สืบทอดต่อ ๆ มาโดยชาวพุทธฝ่ายเถรวาท ซึ่งได้แก่ยานพาหนะทางสังคมของภาษาบาลี เท่าที่เรารู้กันโดยแท้จริง ถูกจำกัดอยู่ที่ศรีลังกาและอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเวลามากกว่า ๑,๐๐๐ ปี ในศตวรรษที่ ๑๑ ภาษาบาลีแผ่ไปถึงพม่าและต่อจากนั้นในระหว่าง ๓ ศตวรรษต่อมา แผ่ไปถึงส่วนที่เหลือจำนวนมากของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในแต่ละประเทศ ภาษาบาลีค่อนข้างจะได้รับอิทธิพลจากภาษาสำคัญที่ใช้กันอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ยกตัวอย่าง ภาษาบาลีที่เขียนขึ้นในลังกาและดินแดนที่สำคัญใกล้ ๆ ของอินเดีย ย่อมแสดงร่องรอยของอิทธิพลภาษาสิงหลและภาษาดราวิเดียน ในกัมพูชา (ที่ภาษาบาลีรุ่นแรกปรากฏในจารึกซึ่งมีอายุในปี ๑๓๐๘-๙) อิทธิพลท้องถิ่นมีมากขนาดที่ว่าภาษาผสมผสานไดพัฒนาขึ้นมา คือการผสมระหว่างภาษาบาลี กับภาษาเขมร (มิได้นำมากล่าวในหนังสือนี้) แต่สิ่งนั้นดูเหมือนเป็นข้อยกเว้น
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลที่สำคัญในการพัฒนาของภาษาบาลีมีสืบต่อมาเป็นภาษาสันสกฤต ตามที่มีมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ของภาษาบาลี จารึกและเอกสารตัวเขียนที่กาฐมัณฑุซึ่งอ้างข้างบนนี้แสดงตัวอย่างไว้ มีแนวโน้มที่จะกลับมาสู่การสะกดตัวภาษาสันสกฤต หรืออย่างน้อย ก็มาสู่สัทศาสตร์ภาษาสันสกฤต ความแตกต่างนี้หมายถึงอะไร ? ขอให้เราพิจารณาข้อเปรียบเทียบในภาษาอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง ภาษาถิ่นในภาษาอังกฤษบางเหล่า (คือ ค็อกนี) ไม่มีอักษรนำ h คนเขียนผู้ปรารถนาที่จะแก้ภาษาค็อกนีให้ถูกต้อง อาจสร้างระบบการออกเสียงภาษาอังกฤษมาตรฐานขึ้นมาใหม่ โดยการใส่อักษรนำ h แต่เขาอาจไม่ต้องสร้างระบบการสะกดตัวภาษาอังกฤษขึ้นมาใหม่ ถ้าเขาใส่อักษรนำ h ในที่ที่ไม่มี h เช่น “I ham happy to see you : ข้าพเจ้าดีใจที่พบคุณ” ตัวอย่างเช่น นักไวยากรณ์พม่าในศตวรรษที่ ๑๒ ได้แสดงความสามารถในการเปรียบเทียบภาษาพม่ากับภาษาบาลี เป็นต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหนังสือสังเขปที่ยิ่งใหญ่ของคำสอนเถรวาท คือ วิสุทธิมรรค พระพุทธโฆษาจารย์ ได้แต่งเป็นภาษาบาลี ซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาษาสันสกฤตมาตรฐานทั้งในด้านวากยสัมพันธ์และท่วงทำนองการเขียน เพราะความคงแก่เรียนของนักไวยากรณ์ชาวพม่า วรรณกรรมแบบต่าง ๆ ทั้งหลายแต่งเป็นภาษาบาลีซึ่งโดยแท้จริงแล้ว คัดลอกโดยการทำสำเนาตามแบบภาษาสันสกฤต ลักษณะพิเศษของระบบคำภาษาบาลี และอภิธานยุคแรกของภาษาบาลีได้รับการรักษาไว้ แต่เรื่องพจนานุกรมภาษาสันสกฤตบางอย่าง สามารถเปลี่ยนเป็นภาษาบาลีได้โดยการใช้กฏทางเสียงเข้าช่วย และประโยคภาษาสันสกฤต ก็สามารถเปลี่ยนเป็นภาษาบาลีได้ในทำนองเดียวกัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงถึงลักษณะที่แตกต่างของสำนวนและรูปแบบภาษาบาลียุคดั้งเดิม ในความหมายนี้ การใช้ภาษาบาลีได้กลายเป็นภาษาบาลีเทียมไป ถึงแม้สามารถใช้เป็นสื่อกลางขอการสื่อสาร ระหว่างภิกษุทั้งหลายผู้มีภาษาแม่แตกต่างกันก็ตาม
นักพจนานุกรมมีความโน้มเอียงที่จะละเลยประเด็นล่าสุดนี้ของภาษาบาลีและสิ่งนั้นมิใช่ไม่มีเหตุผลเพราะว่าในทฤษฎีแล้ว เรื่องอะไร ๆ ในพจนานุกรมภาษาสันสกฤต สามารถแสดงออกมาเป็นภาษาบาลีได้ โดยไม่เปลี่ยนแปลงความหมาย ดังนั้น เพื่อจุดประสงค์ทางปฏิบัติในการอธิบายภาษา การพัฒนาภาษาบาลีโดยทั่วไป ถือกันว่าสิ้นสุดลงด้วยนักไวยากรณ์ชาวพม่า
เพราะฉะนั้น เราควรตอบคำถามในตอนต้นให้สมบูรณ์โดยกล่าวว่า ภาษาบาลีได้รับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนามาหลายศตวรรษ อย่างน้อยที่สุดในระบบคำ(การแจกรูปทางไวยากรณ์) แต่ปรากฏอย่างชัดแจ้งมากในสัทศาสตร์ วากยสัมพันธ์ ท่วงทำนองการแต่งและอภิธาน ตามที่ von Hinuber ได้กล่าวไว้ ภาษาบาลีไม่ใช่ภาษา “ตาย” ทีเดียว เหมือนอย่างภาษาเทียมซึ่งถูกเปลี่ยน แปลงใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หมายเหตุผู้แปล : แปลจากบทนำ : บาลีคืออะไร ? (Introduction : what is Pali ?) ในหนังสือ A Pali Grammar by Wilhelm Geiger, translated into English by Batakrishna Ghosh, revited and edited by K.R. Norman, The Pali Text Society. Oxford pp.23-29, London, 1994. ผู้แปลขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร ที่ช่วยขัดเกลาและแก้ไขสำนวนแปลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

top