ความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎก l ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระไตรปิฎก l พระไตรปิฎกวิจารณ์ l บทความพระไตรปิฎก  

ดูบทความอื่นๆ หน้าหลัก

ข้อคิดจากการแปลพระไตรปิฎก


พระสิริสุทัศน์ธรรมาภรณ์ เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542 หน้า 225 - 233

พระพุทธเจ้าก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไม่ได้ทรงแต่งตั้งพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เป็นผู้ปกครองคณะสงฆ์แทนพระองค์ แต่ได้ตรัสไว้ว่า “เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ธรรมวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย”
จากพระดำรัสนี้ ชาวพุทธจึงยึดถือเอาพระธรรมวินัยเป็นองค์พระศาสดา ได้กำหนดจดจำพระธรรมวินัยเป็นมุขปาฐะ (คำออกจากปาก, ต่อจากปากกันมา, ข้อความที่ท่องจำกันมาด้วยปากเปล่า) สืบต่อกันมา ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
วิธีการรักษาพระธรรมวินัย เรียกว่า การสังคายนา (การสวดพร้อมกัน, การร้อยกรองพระธรรมวินัย) หมายถึงพระสงฆ์ประชุมตรวจชำระสอบทานและจัดหมวดหมู่คำสอนของพระพุทธเจ้าวางลงเป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวกัน การทำสังคายนาพระธรรมวินัยมีหลายครั้ง ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอินเดียมี ๓ ครั้ง (ฝ่ายเถรวาท) คือ
การสังคายนาครั้งที่ ๑ ทำเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้ว ๓ เดือน ปรารภเรื่องสุภัททภิกษุผู้บวชเมื่อแก่กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยและปรารภที่จะให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่สืบไป พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์มีพระมหากัสสปเถระเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนา (ตอบ) พระวินัย พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาพระธรรม ประชุมที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภารบรรพต เมืองราชคฤห์ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก ทำอยู่ ๗ เดือนจึงเสร็จ
การสังคายนาครั้งที่ ๒ ทำเมื่อ พ.ศ. ๑๐๐ ปรารภเรื่องพวกภิกษุวัชชีบุตรแสดงวัตถุ ๑๐ ประการ นอกธรรมนอกวินัย ประชุมพระอรหันต์ ๗๐๐ องค์ มีพระยส กากัณฑกบุตรเป็นประธาน พระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา ทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี ได้พระเจ้ากาลาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ทำอยู่ ๘ เดือนจึงเสร็จ
การสังคายนาครั้งที่ ๓ ทำเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔ ปรารภเรื่องพวกเดียรถีย์จำนวนมากปลอมบวชในพระพุทธศาสนา ประชุมพระอรหันต์ ๑,๐๐๐ องค์ มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน และเป็นผู้ถาม พระมัชฌันติกเถระ กับพระมหาเทวเถระ เป็นผู้วิสัชนา ทำที่อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร ได้พระเจ้าอโศกมหาราช หรือพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ทำอยู่ ๙ เดือนจึงเสร็จ
พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ได้แบ่งออกเป็น ๓ ปิฎก หรือ ๓ คัมภีร์อย่างชัดเจนในการสังคายนาครั้งนี้ เรียกว่า ไตรปิฎก คือ
๑. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยพระพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของพระภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์
๒. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระพุทธพจน์หมวดพระสูตรหรือพระธรรมเทศนา คำบรรยายธรรมต่าง ๆ ที่ตรัสยักเยื้องให้เหมาะสมกับบุคคลและโอกาส ตลอดจนบทประพันธ์ เรื่องเล่าและเรื่องราวทั้งหลาย ที่เป็นชั้นเดิมของพระพุทธศาสนา มีการกล่าวถึงบุคคล ประเทศ เหตุการณ์
๓. พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยพระพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรมคือหลักธรรมและคำบรรยายที่เป็นหลักวิชาล้วน ๆ ธรรมล้วน ๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคล ประเทศ เหตุการณ์
หลังการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ เสร็จแล้ว พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระทราบโดยญาณว่า ในภายภาคหน้า พระพุทธศาสนาจะไม่มั่นคงรุ่งเรืองในชมพูทวีป แต่จะไปมั่นคงรุ่งเรืองในประเทศอื่น ๆ จึงขอพระบรมราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศก
มหาราช จัดส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่พระศาสนาในสถานที่ต่าง ๆ ๙ สาย คือ
สายที่ ๑ ส่งพระมัชฌันติกะและคณะ ไปยังแคว้นกัสมิระ และคันธาระ ปัจจุบัน คือ แคชเมียร์
สายที่ ๒ ส่งพระมหาเทวะและคณะ ไปยังมหิสมณฑล ปัจจุบันคือ รัฐไมซอร์ ภาคใต้ของอินเดีย
สายที่ ๓ ส่งพระรักขิตะและคณะ ไปยังแคว้นวนวาสีประเทศ อยู่ทางตอนเหนือของรัฐไมซอร์
สายที่ ๔ ส่งพระธรรมรักขิตะและคณะ ไปยังอปรันตกชนบท ปัจจุบันอยู่แถบตอนเหนือของบอมเบย์
สายที่ ๕ ส่งพระมหาธรรมรักขิตะและคณะ ไปยังแคว้นมหาราษฎร์ อยู่แถบปูนาในปัจจุบัน
สายที่ ๖ ส่งพระมหารักขิตะและคณะ ไปยังโยนกประเทศ อยู่ตอนเหนือของประเทศอิหร่าน (เปอร์เซีย)
สายที่ ๗ ส่งพระมัชฌิมะและพระมหาเถระอีก ๔ รูป ไปยังหิมวันตะเชิงเขาหิมาลัย ปัจจุบันคือประเทศเนปาล
สายที่ ๘ ส่งพระโสณะกับพระอุตตระและคณะ ไปยังสุวรรณภูมิ คือพม่า ไทย หรือ เอเชียอาคเนย์
สายที่ ๙ ส่งพระมหินทเถระพร้อมด้วยคณะไปยังประเทศลังกา (สมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ)
การสังคายนาครั้งที่ ๔ ทำเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ ปรารภเหตุที่จะทำให้พระศาสนาตั้งมั่นในประเทศลังกา ประชุมพระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอริฏฐะเป็นผู้วิสัชนา ทำที่ถูปาราม เมืองอนุราธบุรี พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ เป็นศาสนูปถัมภ์ ทำอยู่ ๑๐ เดือนจึงเสร็จ
การทำสังคายนาตั้งแต่ครั้งที่ ๑ จนถึงครั้งที่ ๔ ยังไม่มีการจารึกพระธรรมวินัยเป็นลายลักษณ์อักษร ใช้วิธีเรียนท่องจำจากครูอาจารย์สืบต่อกันมา
การสังคายนาครั้งที่ ๕ ทำเมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ (ว่า ๔๓๖ ก็มี) ปรารภพระสงฆ์แตกกันเป็น๒ พวก คือ พวกมหาวิหาร กับพวกอภัยคีรีวิหาร และคำนึงว่าสืบไปภายหน้ากุลบุตรจะถอยปัญญาลง ไม่อาจจะทรงจำพระธรรมวินัยไว้ได้ ควรจารึกพระธรรมวินัยลงในใบลาน พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ประชุมสวดซ้อม แล้วจารพระพุทธพจน์ลงในใบลานที่อาโลกเลณสถานในมลยชนบท ลังกาทวีป พระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย เป็นศาสนูปถัมภก
ภาษาที่ใช้บันทึกพระธรรมวินัยนั้น เรียกว่า ภาษาบาลี ใช้อักษรสิงหลเขียนเป็นพระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรสิงหล ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็ได้จารึก ภาษาบาลีลงในใบลาน ใช้อักษรของประเทศนั้น ๆ เช่น พระไตรปิฎกฉบับอักษรเทวนาครีของอินเดีย ฉบับอักษรขอม ฉบับอักษรพม่า ฉบับอักษรโรมัน ฉบับอักษรไทย
เมื่อพระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายเข้ามาในประเทศไทย สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แห่งกรุงสุโขทัย พระไตรปิฎกยังไม่ได้จารึกลงเป็นอักษรไทย ในหนังสือสังคีติยวงศ์ ว่าการสังคายนาพระธรรมวินัยมีขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๐ พระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ได้อาราธนาพระสงฆ์หลายร้อยรูปให้ช่วยกันชำระอักษรพระไตรปิฎกในใบลาน จารึกเป็นอักษรไทยลานนาลงในใบลาน ทำที่วัดโพธาราม ใช้เวลา ๑ ปีจึงเสร็จ
การสังคายนาในประเทศไทยครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ที่ทรงคุณความรู้ให้ร่วมกันชำระพระไตรปิฎก ซึ่งสูญหายกระจัดกระจายหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ใช้วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์เป็นสถานที่จัดทำ อักษรที่ใช้จารึกพระไตรปิฎกเป็นอักษรขอม
ต่อมาระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๓๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คัดลอกปริวรรตพระไตรปิฎกฉบับอักษรขอมเป็นอักษรไทย แล้วชำระแก้ไขและพิมพ์เป็นรูปเล่ม ๓๙ เล่ม นับเป็นครั้งแรกที่พิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทย
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๓ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระพระไตรปิฎกพิมพ์เป็นเล่มได้ ๔๕ เล่ม เรียกว่าพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ พิมพ์ที่มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ คณะสงฆ์ได้ตั้งคณะกรรมการแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลีเป็นภาษาไทย และได้ดำเนินการจัดพิมพ์ในคราวฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นเล่มหนังสือ ๘๐ เล่ม เท่ากับจำนวนพระชนมายุของพระพุทธเจ้า ในการจัดพิมพ์ครั้งต่อมา ได้ลดจำนวนลงมาเหลือ ๔๕ เล่ม เท่ากับฉบับภาษาบาลี
พ.ศ. ๒๕๓๐ คณะสงฆ์และรัฐบาลไทยได้จัดงานสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎกทั้งฉบับภาษาบาลีและฉบับภาษาไทยแล้วจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับสังคายนา เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบนักษัตร
พ.ศ. ๒๕๓๕ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบนักษัตร มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ดำเนินการตรวจชำระพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีเสร็จเรียบร้อยเรียกว่า มหาจุฬาเตปิฏกํ คือ พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการตรวจชำระและพิมพ์คำอธิบายพระไตรปิฎกที่เรียกว่าอรรถกถาภาษาบาลีอีกด้วย
วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๕ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดงานสัปดาห์สมโภชพระไตรปิฎกและอรรถกถาฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในการนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นประธาน
พ.ศ. ๒๕๓๗ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ทำโครงการแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นภาษาไทย ที่ชาวพุทธทั่วไปอ่านเข้าใจง่าย เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ในการนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับเป็นประธานอุปถัมถ์โครงการการแปลและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ ได้ทำพิธีเปิดการแปลพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ มีสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต) วัดเบญจมบพิตรเป็นประธานฝ่ายบรรพชิต นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์
อนึ่ง ในการแปลพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะจากภาษาบาลี ภาษาสิงหล หรือภาษาสันสกฤต ไปเป็นภาษาของประเทศต่าง ๆ ที่พระพุทธศาสนาแผ่ขยายไปถึง ได้กระทำเมื่อพระศาสนาได้เจริญตั้งมั่นในประเทศนั้น ๆ แล้ว ทั้งนี้เพื่อต้องการให้พุทธศาสนิกชนได้ศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัยในภาษาของตนได้ดียิ่งขึ้น
ในการแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นภาษาไทยนั้น มหาวิทยาลัยต้องการให้ผู้อ่านทุกระดับเข้าใจอรรถธรรมได้ง่ายที่สุด แม้ผู้ไม่มีความรู้ทางภาษาบาลีมาก่อน ก็สามารถอ่านทำความเข้าใจได้โดยไม่ยาก ดังนั้น จึงได้วางหลักการแปลไว้ดังนี้
๑. แปลโดยอรรถ ด้วยสำนวนภาษาไทยที่เห็นว่าจะเป็นที่เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ หรือสามารถใช้ศึกษาพุทธธรรมด้วยตนเองได้ ให้ได้ความตรงกับความหมายและสาระสำคัญ ตามพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ไม่ให้ผิดเพี้ยนทั้งอรรถและพยัญชนะ
๒. เพื่อให้การแปลได้เป็นไปตามหลักการข้อ ๑ เมื่อจะแปลเรื่องใดหรือสูตรใด ให้อ่านและศึกษาเรื่องนั้นให้ทั่วถึง เพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้งทั้งอรรถและพยัญชนะ โดยตีความคำศัพท์ทั้งโดยอรรถและพยัญชนะ ตลอดถึงวิเคราะห์ดูความมุ่งหมายในการแสดงเรื่องหรือสูตรนั้น ๆ โดยทั่วถึง แล้วจึงแปลเป็นภาษาไทย
๓. ในการตีความดังกล่าวในข้อ ๒ ให้ตรวจสอบกับคำอธิบายในคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ของพระไตรปิฎกเล่มและตอนนั้น ๆ ตลอดถึงคัมภีร์ศัพทศาสตร์และปกรณ์ต่าง ๆ ให้ทั่วถึง และให้เทียบเคียงกับสำนวนพระไตรปิฎก ฉบับแปลภาษาอังกฤษด้วย
๔. คำศัพท์ที่เป็นหัวข้อธรรม เช่น อิทธิบาท ๔ หรือข้อธรรมย่อยอันเป็นรายละเอียดของหัวข้อธรรม เช่น ฉันทะ วิริยะ ให้แปลทับศัพท์ไว้ แล้วเขียนคำแปลถอดความควบคู่กันไปไว้ภายในเครื่องหมายวงเล็บ เช่น อิทธิบาท (คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย)
๕. ถ้าศัพท์ใดที่เป็นชื่อข้อธรรม หรือชื่อหัวข้อธรรมดังกล่าวแล้วในข้อ ๔ ปรากฏซ้ำซ้อนกันในเรื่องเดียวกันหรือสูตรเดียวกัน ให้แปลทับศัพท์ควบคู่กับแปลถอดความในวงเล็บเล็ก เฉพาะคำที่ปรากฏครั้งแรกเท่านั้น คำต่อมาให้แปลทับศัพท์อย่างเดียว
๖. ให้รักษาเอกภาพการแปลไว้ อย่าให้มีความลักลั่นในการแปล กล่าวคือเมื่อคำศัพท์อย่างเดียวกันมีปรากฏในที่หลายแห่งหรือหลายสูตร ถ้ามีความหมายอย่างเดียวกันให้แปลตรงกัน หรือเมื่อข้อธรรมอย่างเดียวกันมีปรากฏในหลายที่หลายแห่ง มีนัยอย่างเดียวกัน ให้แปลตรงกัน เช่น ข้อความจากพระวินัยปิฎกบ้าง หรือพระสุตตันตปิฎกบ้าง ที่นำมากล่าวอ้างอิงไว้ในพระอภิธรรม ให้แปลตรงกันทั้ง ๒ ปิฎก พร้อมทั้งทำเชิงอรรถบอกที่มาของข้อความหรือของสูตรนั้น ๆ ด้วย
๗. ที่ใดมีข้อควรรู้เป็นพิเศษ หรือเป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัย ให้ทำเชิงอรรถแสดงความเห็นหรือเหตุผลในการวินิจฉัยไว้ด้วย เช่น บาลีที่กล่าวถึงพุทธธรรม โดยบอกเพียงจำนวนไม่ให้รายละเอียดไว้ เช่น สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ หรือมิได้บอกจำนวนและรายละเอียดไว้ ให้ทำเชิงอรรถบอกที่มาของรายละเอียดนั้นด้วย เมื่อพบว่ามีจำนวนและรายละเอียด อนึ่ง ที่ใดมีศัพท์ที่แปลยาก อาจแปลได้หลายนัย หรือพบว่ามีมติให้การตีความไว้หลายอย่าง เมื่อตัดสินแปลคำนั้นอย่างใดแล้ว ให้ทำเชิงอรรถแสดงมติและเหตุผลในการแปลนั้นไว้ด้วย
๘. ในการแปล ให้ลงเลขวรรค เลขข้อ และเลขเรื่องให้ตรงกับพระไตรปิฎก ภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๙. ให้มีคำปรารภ อักษรย่อชื่อคัมภีร์ สารบัญเรื่อง ดรรชนีค้นคำและหมวดธรรม ทำนองเดียวกับพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยเพิ่มบทนำ และเชิงอรรถ ให้มีคณะบรรณาธิการคณะหนึ่งทำหน้าที่เขียนคำปรารภ บทนำ เชิงอรรถ
การแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นภาษาไทย ตามโครงการจะกำหนดแล้วเสร็จในเวลา ๓ ปี แต่เนื่องจากจะต้องพิถีพิถันในการแปลมาก คือเมื่อกรรมการแปลแต่ละคณะแปลเสร็จแล้ว ส่งให้คณะกรรมการตรวจสำนวนการแปล เพื่อพิจารณาสำนวนการแปลให้เป็นภาษาไทยที่ถูกต้อง เข้าใจได้ง่าย แล้วส่งไปยังคณะบรรณกรเพื่อตรวจสำนวนการแปลกับต้นฉบับภาษาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ถูกต้องสมบูรณ์ เมื่อตรวจแก้เป็นที่พอใจแล้ว ก็จะส่งต่อไปยังคณะบรรณาธิการเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกชั้นหนึ่ง ถ้าเห็นว่าถูกต้องใช้ได้ก็ส่งพิมพ์ ถ้าเห็นว่ายังมีข้อบกพร่อง จะโดยการแปล หรือไม่ตรงตามหลักการที่กำหนดไว้ ก็จะส่งคืนกลับไปยังคณะบรรณกรเพื่อปรับปรุงแก้ไขอีก เสร็จแล้วจึงส่งกลับไปยังคณะบรรณาธิการเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง บางเล่มต้องทำอย่างนี้หลายครั้ง จึงจะได้ข้อยุติ การแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นภาษาไทย จึงเลยกำหนดเวลาไปอีกเท่าตัว แต่ทำเสร็จแล้วก็เป็นที่
พอใจของทุกฝ่าย
ขอให้เข้าใจว่า แต่ละภาษาย่อมมีอัจฉริยลักษณ์ของตนเอง การแปลจากภาษาหนึ่งไปสู่อีกภาษาหนึ่ง ผู้แปลต้องรู้ภาษาทั้งสองนั้นเป็นอย่างดี จึงจะแปลได้ถูกต้องตรงกัน ไม่ขาดตกบกพร่องในส่วนใดส่วนหนึ่งไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นอกจากนี้ การแปลเรื่องยาวเป็นหนังสือชุดอย่างพระไตรปิฎก ซึ่งมีข้อความซ้ำกันบ้าง มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันบ้าง ผู้แปลต้องตรวจสอบให้ทั่วทั้งชุด แล้วแปลให้ลงรูป ลงรอยเดียวกันทั้งหมด นี้เองคือความยากของการแปลพระไตรปิฎก และนี้เองที่ทำให้การแปลชักช้าไปมาก

เอกสารประกอบการเรียบเรียง

๑. พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๓
๒.พระไตรปิฎกปริทัศน์ พระอมรเมธาจารย์ (นคร เขมปาลี) ป.ธ.๖, Ph.D.,
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมมจิตโต) ป.ธ.๙, พธ.บ., Ph.D. และคณะ
๓. สูจิบัตร พิธีเปิดประชุมการแปลพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๗
top