ความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎก l ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระไตรปิฎก l พระไตรปิฎกวิจารณ์ l บทความพระไตรปิฎก  

ดูบทความอื่นๆ หน้าหลัก

สารธรรมที่น่าศึกษาในอังคุตตรนิกาย


สมควร นิยมวงศ์ เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542 หน้า 157 - 163

อังคุตตรนิกาย เป็นนิกายที่ ๔ ในจำนวน ๕ นิกายของพระสุตตันตปิฎก หมายถึงหมวดของพระสูตรที่พระสังคีติกาจารย์รวบรวมและจัดลำดับเข้าไว้ด้วยกัน ตามจำนวนหัวข้อธรรมเป็นสำคัญ โดยจัดแบ่งพระสูตรจำนวน ๗,๙๐๒ สูตร (อรรถกถาพระวินัยกล่าวว่ามี ๙,๕๕๗ สูตร: วิ.อ. ๑/๒๕) ให้เหมาะสมกับหัวข้อธรรมไว้ในแต่ละนิบาต (หมวดย่อยของนิกาย) กล่าวคือ พระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวนเท่ากัน ท่านก็จัดไว้ในนิบาตเดียวกัน เริ่มตั้งแต่จัดพระสูตรที่มีจำนวน ๑ ข้อไว้ในนิบาตหมวด ๑ ไปจนถึงจัดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๑๑ ข้อไว้ในนิบาตหมวด ๑๑ รวมเป็น ๑๑ นิบาต คือ
๑. เอกกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๑ ข้อ มี ๖๑๙ สูตร
๒. ทุกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๒ ข้อ มี ๗๕๐ สูตร
๓. ติกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๓ ข้อ มี ๓๕๓ สูตร
๔. จตุกกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๔ ข้อ มี ๗๘๒ สูตร
๕. ปัญจกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๕ ข้อ มี ๑,๑๕๒ สูตร
๖. ฉักกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๖ ข้อ มี ๖๔๙ สูตร
๗. สัตตกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๗ ข้อ มี ๑,๑๓๒ สูตร
๘. อัฏฐกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๘ ข้อ มี ๖๒๖ สูตร
๙. นวกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๙ ข้อ มี ๔๓๒ สูตร
๑๐. ทสกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๑๐ ข้อ มี ๗๔๖ สูตร
๑๑. เอกาทสกนิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมจำนวน ๑๑ ข้อ มี ๖๗๑ สูตร
ในนิบาตเหล่านี้ แต่ละนิบาตมีการแบ่งหมวดหมู่พระสูตรที่แตกต่างกันตามลักษณะของหัวข้อธรรม กล่าวคือมีการแบ่งเป็นวรรคอย่างเดียวบ้าง แบ่งเป็นปัณณาสก์ (หมวดละ ๕๐ สูตร)และเปยยาลบ้าง แบ่งเป็นปัณณาสก์และวรรคบ้าง แบ่งเป็นวรรคและเปยยาลบ้าง
อังคุตตรนิกายทั้ง ๑๑ นิบาต จัดเป็นคัมภีร์ได้ ๕ เล่ม ได้แก่พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐-๒๔ ดังนี้

๑. เอกกนิบาต ทุกนิบาต และติกนิบาต เล่มที่ ๒๐
๒. จตุกกนิบาต เล่มที่ ๒๑
๓. ปัญจกนิบาต และฉักกนิบาต เล่มที่ ๒๒
๔. สัตตกนิบาต อัฏฐกนิบาต และนวกนิบาต เล่มที่ ๒๓
๕. ทสกนิบาต และเอกาทสกนิบาต เล่มที่ ๒๔

อังคุตตรนิกายทั้ง ๕ เล่มนี้มีสารธรรมมากมายที่น่าศึกษาค้นคว้าและนำไปปฏิบัติสำหรับทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์เป็นอย่างยิ่ง ในที่นี้ขอเสนอพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระน่าศึกษาในแต่ละเล่มเป็นแนวทางการศึกษาพระสูตรอื่น ๆ ต่อไป
๑. เกสปุตติสูตร แห่งมหาวรรค ทุติยปัณณาสก์ ในติกนิบาต แสดงหลักความเชื่อ ๑๐ ประการ คือ พระผู้มีพระภาคตรัสสอนชาวกาลามะ๑ในตำบลเกสปุตตะว่า มิให้เชื่อเพียงเพราะ (๑) ฟังตามกันมา (๒) เล่าเรียนยึดถือสืบ ๆ กันมา (๓) เล่าลือกันมา (๔) ว่าตามตำราหรือคัมภีร์ (๕) ตรรกะ (การคิดเอาเอง) (๖) การอนุมาน (๗) คิดตรองตามแนวเหตุผล (๘) เข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (๙) มองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (๑๐) นับถือว่าเป็นครูอาจารย์ แต่ทรงสอนให้เชื่อต่อเมื่อได้ไตร่ตรองด้วยเหตุผลเห็นแจ้งด้วยตนเองแล้ว (องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๖๖/๒๕๕)
๒. ปฐมสังวาสสูตร และทุติยสังวาสสูตร แห่งปุญญาภิสันทวรรค ทุติย- ปัณณาสก์ จตุกกนิบาต แสดงการอยู่ร่วมกันระหว่างสามีกับภรรยาไว้ ๔ แบบ โดยเปรียบเทียบว่า คนทุศีลเป็นเสมือนผี คนมีศีลเป็นเสมือนเทวดา ดังนี้
(๑) การอยู่ร่วมกันแบบผีอยู่ร่วมกับผี หมายถึงสามีทุศีลอยู่ร่วมกับภรรยาทุศีล
(๒) การอยู่ร่วมกันแบบผีอยู่ร่วมกับเทวดา หมายถึงสามีทุศีลอยู่ร่วมกับภรรยามีศีล
(๓) การอยู่ร่วมกันแบบเทวดาอยู่ร่วมกับผี หมายถึงสามีมีศีลอยู่ร่วมกับภรรยาทุศีล
(๔) การอยู่ร่วมกันแบบเทวดาอยู่ร่วมกับเทวดา หมายถึงสามีมีศีลอยู่ร่วมกับภรรยามีศีล (องฺ.จตุกฺก. (แปล) ๒๑/๕๓,๕๔/๘๘-๙๓)
๓. ทุกกถาสูตร แห่งสัทธัมมวรรค จตุตถปัณณาสก์ ในปัญจกนิบาต แสดงว่า การพูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถือเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับคนที่มีพฤติกรรมตรงกันข้าม มี ๕ อย่าง คือ
(๑) การพูดเรื่องศรัทธา เป็นเรื่องไม่ดี ก่อความขัดใจแก่คนไม่มีศรัทธา
(๒) การพูดเรื่องศีล เป็นเรื่องไม่ดี ก่อความขัดใจแก่คนทุศีล
(๓) การพูดเรื่องพาหุสัจจะ๑ เป็นเรื่องไม่ดี ก่อความขัดใจแก่คนมีสุตะน้อย
(๔) การพูดเรื่องจาคะ เป็นเรื่องไม่ดี ก่อความขัดใจแก่คนตระหนี่
(๕) การพูดเรื่องปัญญา เป็นเรื่องไม่ดี ก่อความขัดใจแก่คนผู้โง่เขลา
ทั้งนี้ เพราะคนไม่มีศรัทธา คนทุศีล เป็นต้น ไม่เห็นความสำคัญของศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ จาคะ และปัญญา (องฺ.ปญฺจก. (แปล) ๒๒/๑๕๗/๒๕๘)
๔. ปฐมสารณียสูตร และทุติยสารณียสูตร แห่งสารณียวรรค ปฐมปัณณาสก์ ในฉักกนิบาต แสดงถึงคุณธรรมที่ก่อให้เกิดความรักความสามัคคีในสงฆ์ที่เรียกว่า สารณียธรรม แปลว่า “ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน” มี ๖ ประการ คือ
(๑) ตั้งมั่นเมตตากายกรรม (ทำด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา) ในเพื่อน พรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
(๒) ตั้งมั่นเมตตาวจีกรรม (พูดด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา) ในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
(๓) ตั้งมั่นเมตตามโนกรรม (คิดด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา) ในเพื่อนพรหมจารีท้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
(๔) บริโภคร่วมกับเพื่อนพรหมจารีผู้มีศีล โดยไม่แบ่งแยกลาภ๑ ทั้งหลาย ที่ประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม โดยที่สุดแม้เพียงบิณฑบาต
(๕) มีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ท่านผู้รู้สรรเสริญ ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิครอบงำ เป็นไปเพื่อสมาธิเสมอกันกับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
(๖) มีอริยทิฏฐิอันเป็นธรรมเครื่องนำออก๒ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้ทำตามเสมอกันกับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
พระผู้มีพระภาคทรงสรุปว่า สารณียธรรม ๖ ประการนี้ เป็นธรรมที่ทำให้เป็นที่รักกัน เคารพกัน เป็นไปเพื่อสงเคราะห์กัน ไม่วิวาทกัน มีความสามัคคีกัน (องฺ.ฉกฺก. (แปล) ๒๒/๑๑-๑๒/๔๒๖-๔๒๘)
๕. สารันททสูตร วัสสการสูตร และปฐมสัตตกสูตร แห่งวัชชีสัตตกวรรค ในสัตตกนิบาต แสดงหลักธรรมของนักปกครอง ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายอาณาจักร และฝ่ายพุทธจักร กล่าวคือ สารันททสูตรและวัสสการสูตร แสดงหลักธรรมของนักปกครองฝ่ายอาณาจักร เรียกว่า ราชอปริหานิยธรรม ๗ ประการ คือ (๑) หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ (๒) พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุม และทำกิจที่ควรทำ (๓) ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่นในระเบียบประเพณีที่สืบต่อกันมานาน (๔) ให้ความเคารพนับถือและเชื่อฟังผู้ใหญ่ของบ้านเมือง (๕) ไม่ฉุดคร่าบังคับขืนใจสตรี (๖) สักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจติยสถาน ไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรมให้เสื่อมสูญ (๗) จัดการรักษา คุ้มครอง ป้อง
กันพระอรหันต์ทั้งหลายด้วยตั้งใจว่า “ทำอย่างไร พระอรหันต์ที่ยังไม่มา พึงมาสู่แว่นแคว้นของเรา และท่านที่มาแล้วพึงอยู่อย่างผาสุก”
ถ้านักปกครองฝ่ายอาณาจักรถือปฏิบัติมั่นตามหลักธรรมนี้ ตัวเองจะเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ ทั้งทำให้ประเทศชาติเจริญมั่นคง และทำให้ประชาชนในชาติอยู่เย็นเป็นสุข
ส่วนปฐมสัตตกสูตร แสดงหลักธรรมของนักปกครองฝ่ายพุทธจักร ที่เรียกว่า ภิกขุอปริหานิยธรรม ๗ ประการ คือ (๑) หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ (๒) พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุม และทำกิจที่ควรทำ (๓) ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่นในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้ว (๔) ให้ความเคารพนับถือเชื่อฟังภิกษุผู้เป็นเถระ (๕) ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งตัณหา (๖) เป็นผู้มุ่งหวังเสนาสนะป่า (๗) ตั้งสติมั่นภายในว่า “ทำอย่างไร เพื่อนพรหมจารีทั้งหลายผู้มีศีลงามที่ยังไม่มา ขอให้มา และท่านที่มาแล้วพึงอยู่อย่างผาสุก”
ถ้านักปกครองฝ่ายพุทธจักรถือปฏิบัติมั่นตามหลักธรรมนี้ ตัวเองก็จะเจริญรุ่งเรือง พระพุทธศาสนาจะเจริญมั่นคง คณะสงฆ์หรือผู้ใต้บังคับบัญชาก็เกิดความสบายใจ และพุทธบริษัทก็เจริญในธรรมเป็นนิตย์ ไม่มีความเสื่อม (องฺ.สตฺตก. (แปล) ๒๓/๒๑-๒๓/๓๑-๒๗)
๖. กามโภคีสูตร แห่งอุปาสกวรรค ทุติยปัณณาสก์ ในทสกนิบาต แสดงประเภทของคฤหัสถ์ ๑๐ ประเภท ตามลักษณะพฤติกรรมต่าง ๆ คือ
(๑) ประเภทที่แสวงหาโภคทรัพย์ในทางทุจริต ทั้งไม่บำรุงตนให้เป็นสุข ไม่แจกจ่ายทำบุญ
(๒) ประเภทที่แสวงหาโภคทรัพย์ในทางทุจริตมาบำรุงตนให้เป็นสุข แต่ไม่แจกจ่ายทำบุญ
(๓) ประเภทที่แสวงหาโภคทรัพย์ในทางทุจริตมาบำรุงตนให้เป็นสุข และแจกจ่ายทำบุญ
(๔) ประเภทที่แสวงหาโภคทรัพย์ในทางสุจริตบ้าง ทุจริตบ้าง ไม่บำรุงตนให้เป็นสุข และไม่แจกจ่ายทำบุญ
(๕) ประเภทที่แสวงหาโภคทรัพย์ทั้งในทางสุจริตและทุจริตมาบำรุงตนให้เป็นสุข แต่ไม่แจกจ่ายทำบุญ
(๖) ประเภทที่แสวงหาโภคทรัพย์ทั้งในทางสุจริตและทุจริตมาบำรุงตนให้เป็นสุข และแจกจ่ายทำบุญ
(๗) ประเภทที่แสวงหาโภคทรัพย์ในทางสุจริต แต่ไม่บำรุงตนให้เป็นสุข และไม่แจกจ่ายทำบุญ
(๘) ประเภทที่แสวงหาโภคทรัพย์ในทางสุจริตมาบำรุงตนให้เป็นสุข แต่ไม่แจกจ่ายทำบุญ
(๙) ประเภทที่แสวงหาโภคทรัพย์ในทางสุจริตมาบำรุงตนให้เป็นสุข และแจกจ่ายทำบุญ แต่เป็นผู้มัวเมาหมกมุ่นในโภคทรัพย์
(๑๐) ประเภทที่แสวงหาโภคทรัพย์ในทางสุจริตมาบำรุงตนให้เป็นสุข และแจกจ่ายทำบุญ ทั้งไม่เป็นผู้มัวเมาหมกมุ่นในโภคทรัพย์
ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคยังได้ทรงแสดงหลักเกณฑ์สำหรับพิจารณาตัดสินคุณสมบัติของอุบาสกว่า อุบาสกเช่นไรควรติเตียน อุบาสกเช่นไรควรสรรเสริญ หลักเกณฑ์สำหรับพิจารณานั้นมี ๔ ประการ คือ (๑) แสวงหาโภคทรัพย์โดยสุจริต หรือไม่ (๒) บำรุงตนให้ได้รับความสุข หรือไม่ (๓) แจกจ่ายทำบุญ หรือไม่ (๔) มัวเมาในโภคทรัยพ์ หรือไม่ (องฺ.ทสก. (แปล) ๒๔/๙๑/๒๐๗)
นอกจากนี้ ยังมีพระสูตรอีกจำนวนมากในอังคุตตรนิกายทั้ง ๕ เล่ม ที่มีสารธรรมและแง่มุมน่าศึกษา เช่นเวรัญชสูตร และสีหสูตร แห่งมหาวรรค ปฐมปัณณาสก์ ในอัฏฐกนิบาต แสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถในเชิงวาทศิลป์ของพระผู้มีพระภาค ที่ทรงตอบปัญหาหลายรูปแบบของบุคคลต่างลัทธิ จนบุคคลเหล่านั้นยอมทิ้งลัทธิเดิม หันมานับถือพระพุทธศาสนา (องฺ.อฏฺฐก. (แปล) ๒๓/๑๑-๑๒/๒๑๙-๒๓๔)
ปหาราทสูตร และอุโปสถสูตร แห่งมหาวรรค ปฐมปัณณาสก์ ในอัฏฐกนิกบาต แสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถในธรรมบรรยายเชิงอุปมาโวหารของพระผู้มีพระภาค เช่น ทรงยกเอารูปธรรมคือสิ่งที่คนมองเห็นได้ รู้ได้ง่าย เข้าใจง่ายมา
แสดงเปรียบเทียบกับสิ่งที่เป็นนามธรรมที่คนมองไม่เห็น รู้ยาก เข้าใจยาก ให้รู้ได้ง่าย เข้าใจง่าย (องฺ.อฏฺฐก. (แปล) ๒๓/๑๙๒๐/๒๔๖-๒๕๖)
โคตมีสูตร แห่งโคตมีวรรค ทุติยปัณณาสก์ ในอัฏฐกนิบาต แสดงให้เห็นว่า พระผู้มีพระภาคทรงมีอนาคตังสญาณ หรือที่เรียกว่า วิสัยทัศน์อันกว้างไกล กล่าวคือมิได้ทรงมุ่งแต่จะเผยแผ่พระศาสนาเพื่อแสวงหาศาสนิกให้ได้ปริมาณมากอย่างไร้กฎเกณฑ์กติกา แต่ทรงใช้กฎเกณฑ์กติกาในการเลือกศาสนิกที่มีคุณภาพ เพื่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนาสืบไป (องฺ.อฏฺฐก. (แปล) ๒๓/๕๑/๓๓๑-๓๓๗)
นี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ยกมานำเสนอเป็นแนวทางการศึกษาค้นคว้าเท่านั้น ยังมีพระสูตรที่มีลักษณะเช่นนี้อีกมากมายในอังคุตตรนิกาย ผู้สนใจใฝ่สารธรรมจึงควรศึกษาค้นคว้าโดยดละเอียดในพระไตรปิฎกต่อไป

top