ค. แบ่งตามวรรณะ
๔ คือ
ขตฺติย
พฺราหฺมณ
เวสฺส
สูทฺท
จนฺฑาล
ปุกฺกุสฺส
ง.
แบ่งตามลักษณะทางศาสนา ๒
ปพฺพชิต-บรรพชิต
คิหิ-คฤหัสถ์
จ.
แบ่งตามลักษณะเศรษฐกิจหรืออาชีพ
เสฏฺฐี-มหาเสฏฺฐี-อนาถปิณฺฑิก-โชติก
กุฏุมฺพี-สุวณฺโณ
นาม
คหปติ-จิตฺตคหปติ
สุวณฺณการ-กุมฺภาการ-หตฺถาการ
เคหการ-มาลาการ-คีตการ
เวชฺช-ติกิจฺฉก-กสก-อุยฺยาปาล
โคปาล-โคฆาตก-อชปาล
เนวิก-วาณิช-ยาจก-วณิพก
เนสาโท
นายพราน
ฉ.
แบ่งตามหน้าที่ในฐานะคนธรรมดา
คู่
๑ มาตาปิตา
คู่
๒ ครู
คู่
๓ ภริยา, ชายา
คู่
๔ สหาย
คู่
๕ สสามิก
คู่
๖ ปพฺพชิต, สมณ, พราหมณ์ |
- ปุตฺตธีตา
- สิสฺสา
- สามี-ปติ
- มิตฺต
- กมฺมการา
- คิหี |
= พ่อแม่กับลูก
= ครูกับศิษย์
= สามีกับภรรยา
= เพื่อนกับเพื่อน
= นายกับลูกจ้าง
= นักบวชกับประชาชน |
ช.
แบ่งตามระบบราชการ
๑. ราชา-มหาราชา-จกฺกวตฺติราชา/ราชินี
๒.
อมจฺจา, มหาอมจฺจา
๓.
เสนาปติ
๔.
ราชปุริส
๕.
พลนิกาโย ฯลฯ |
- พระมหากษัตริย์
- ข้าราชการบริหาร
- นายก
- ข้าราชการ
- ทหาร |
อย่างไรก็ตาม
ทุกคนจะต้องถือหลัก ธมฺมจารี
สุขํ เสติ ผู้ประพฤติธรรมอยู่เป็นสุข
จึงน่าจะเรียกว่า สังคมธัมมิก หรือ ธัมมิกสังคม ราชาก็มีธรรม
ประชาชนก็มีธรรมสมณะก็มีธรรม อำมาตย์ก็มีธรรม เมื่อมีธรรมทุกฝ่ายก็อยู่เป็นสุข
จะยกธรรมตามแนวพจนานุกรมพุทธศาสตร์
ฉบับประมวลธรรมของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ดังนี้.
๑.
ธรรมสำหรับทุกคน
๑.๑
ธรรมเพื่อส่งเสริมความเป็นมนุษย์ เช่น ศีล ๕ สัปปุริสธรรม
๗
๑.๒
ธรรมเพื่อชีวิตที่งอกงาม เช่น ปัจจัยสัมมาทิฏฐิ ๒ ทสบารมีมงคล
๓๘
๑.๓
ธรรมเตือนสติ, เช่น เทวทูต, มาร, อภิณหปัจจเวกขณ์
๒.
ธรรมเพื่อความดีงามแห่งสังคม
๒.๑
ส่งเสริมชีวิตที่ดีร่วมกัน เช่น ปฏิสันถาร ๒, สังคหวัตถุ
๔, สาราณียธรรม ๖
๒.๒
ธรรมเพื่อการปกครอง-คุ้มครองชีวิตที่ดีร่วมกันคือพรหมวิหาร
๔, ราชธรรม ๑๐, จักกวัตติวัตร ๑๒
๓.
ธรรมเพื่อผู้ครองเรือน (คฤหัสถ์)
๓.๑
ธรรมเพื่อครอบครัวเช่น ตระกูลยั่งยืน ๔, ฆราวาสธรรม ๔, สมชีวิธรรม
๔
๓.๒
สัมพันธ์ในสังคม เช่น ทิศ ๖, มิตรแท้ มิตรเทียม
๓.๓
อยู่ดีทางเศรษฐกิจ เช่นการใช้ทรัพย์ ๔, ประโยชน์ปัจจุบัน
๔, สุขคฤหัสถ์ ๔
๓.๔
ธรรมที่พึงหลีกเว้น เช่น กรรมกิเลส ๔ อบายมุข, อนันตริยกรรม,
อคติ
๔.
ธรรมสำหรับบรรพชิต เช่น ธุระ ๒, ปริสุทธิศีล
๔, อภิณหปัจจเวกขณะ
๕.
ธรรมสำหรับอุบาสก เช่น บุญกิริยาวัตถุ อุปาสกธรรม
อุโบสถศีล ๘
๖.
ธรรมสำหรับครู เช่น ลีลาการสอน ๔, กัลยาณมิตตธรรม
๗
๗. สัจจธรรม ที่ทุกคนควรเข้าใจและแจ่มแจ้ง คือ
๑.
ขันธ์ ๕
๒.
ปฏิจจสมุปบาท ๑๒
๓.
อริยสัจจ์ ๔
๔.
มรรค ๘
สังคมที่พึงประสงค์คือสังคมที่ดำเนินตามหลักสิงคาโลวาทสูตร
เว้นจากสิ่งเลวร้ายคือ กรรมกิเลสและอบายมุข แล้วทำหน้าที่ให้ถูกทั้ง
๖ ประการตามหลักทิศ ๖ พัฒนาตน ๔ ด้าน
๑. ภาวิตกาโย
๒.
ภาวิตสีโล
๓.
ภาวิตจิตฺโต
๔.
ภาวิตปัญญา |
มีปัจจัย ๔ สมบูรณ์
มีระเบียบด้วยศีล ๕
มีจิตมั่นคงด้วยสมาธิ
มีปัญญาสูงส่งด้วยอริยชน |
(อํ.
ติก. ๒๐/๕๔๐/๓๒๐ ส.สฬ. ๑๘/๖๑๓-๑๙/๓๙๓-๓๙๘) |
ข้อแรกจะต้องมีหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์
ข้อสองจะต้องมีหลักศีลธรรมคือ
ศีล ๕ และสังคหวัตถุ ๔
สาราณียธรรมและฆราวาสธรรม
ข้อสามจะต้องมีหลักสมาธิจิต
รู้จักบำเพ็ญสมาธิ
ข้อสี่จะต้องมีหลักปัญญา
๓ ให้ครบถ้วน
น.พ.
ประเวศ วะสี ได้กล่าวไว้ว่า "แต่โบราณมามนุษย์ใฝ่ฝันถึงสังคมที่มีความสุขทั่วพร้อม
ดังมีจินตนาการในเรื่องสวรรค์ ในเรื่องโลกพระศรีอารย์
เป็นการยากที่จะทำให้มนุษย์เลิกใฝ่ฝันเช่นนั้น นักคิดและนักปฏิบัติเพื่อสังคมมีจุดมุ่งหมายที่จะเห็นความสุขถ้วนหน้า
(ปี ๒๕๓๘) ในสังคม สังคมที่มีความสุขถ้วนหน้าอาจมีลักษณะดังนี้.-
๑.
มีงานทำ มีรายได้ มีปัจจัย ๔ ทั่วถึง
๒.
มีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน
๓.
มีครอบครัวที่เป็นสุข
๔.
มีคุณธรรม จริยธรรม
๕.
มีสิ่งแวดล้อมที่ดี
๖.
มีสุขภาพจิตดี มีความพอใจในชีวิต และสังคม
G.I.
= Good Income
G.S.
= Good Security
G.F.
= Good Family
G.V.
= Good Virtue
G.E.
= Good Environment
G.M.
= Good Mental Health
|
|